"ทักษิณ" เดินต่อพ.ร.ก.สรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคม หยิบเพื่อประโยชน์ประเทศชาติ
ด้านสรรพสามิตชี้ รายรับของผู้ประกอบการช่วง 28 -31 ม.ค.ที่ผ่านมาจะต้องชำระภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม
ภายใน 15 ก.พ.นี้ "สถิตย์" คาดรายได้ภาษีในแต่ละเดือนเกือบ 1,000 ล้านบาท ยันมีกลไกคืนภาษี
ผู้ประกอบการหากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยขัดต่อรัฐธรรมนูญ
หลังจากที่ฝ่ายค้านยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ในการออกพระราชกำหนดพิกัดอัตราภาษี
สรรพสามิต นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลนั้นไม่ได้รวบรัดในการออกพระราชกำหนด
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้รวบ รัดในการออกพระราชกำหนด
(พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคม เพราะเป็นเรื่องการจัดระบบระเบียบภาษีซึ่งเชื่อว่าประชาชนไม่เกิดความสับสน
แต่ฝ่ายค้านสับสน จึงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งคำวินิจฉัยออกมาก็เป็นไปตามนั้น
แต่เมื่อมีพระบรมราชองค์การโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแล้วก็ถือว่ากฎหมาย นี้ใช้ได้ทันที
แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างตีความก็ตาม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลจะเดินหน้าเรื่องพระราชกำหนดต่อไปเพราะเป็นประโยชน์ของประเทศชาติ
ด้านนายชวน หลีกภัย ผู้นำฝ่ายค้าน ปฏิเสธที่จะตอบโต้กรณีที่นายกรัฐมนตรี ระบุด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
เกี่ยวกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยใน การออกพระราชกำหนด การแก้ไข พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
แต่ก็อยากให้รัฐบาลนั้นเข้าใจถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ายค้านที่เป็นหน้าที่ ดูแลรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม
ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ วิปฝ่ายค้านระบุว่า พระราช กำหนดที่ออกสมัยฝ่ายค้านเป็นรัฐบาล
20 ฉบับทำถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน และใน 10 ฉบับนั้นเป็นการออกในสมัยพรรคความหวังใหม่เป็นรัฐบาล
ภาษีธุรกิจโทรคมนาคม เดินเครื่องชำระ 15 ก.พ.นี้
ภายหลังที่กรมสรรพสามิตได้เรียกผู้ประกอบการสถานบันเทิงในกรุงเทพมหานครเข้ารับฟังถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเมื่อวันที่
3 ก.พ.ที่ผ่านมา วานนี้ (5) ทางกรมฯได้เรียกผู้ประกอบการและตัวแทน ที่ดำเนินธุรกิจโทรคมนาคมรับฟังถึงการเสียภาษี
สรรพสามิต
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ทางกรมฯได้เรียกผู้ประกอบการ
และตัวแทนมารับฟังถึงขั้นตอนการชำระภาษีสรรพสามิตที่เกี่ยวกับการให้บริการกิจการโทรคมนาคม
โดยหลังจากประกาศลงในราช-กิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา กลไก การเก็บภาษีถือว่าเริ่มต้นในทันที
แต่วิธีการจัดเก็บจะเริ่มในงวดแรกเป็นรายได้ในส่วนของเดือน ม.ค ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องยื่นแบบเสียภาษีต่อกรมภายในวันที่
15 ก.พ .นี้
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.252 7 กำหนดไว้ว่ากิจการโทรคมนามคม
กำหนดเพดานการจัดเก็บสูงสุดไว้ไม่เกิน 50% แต่อัตราที่จัดเก็บแท้จริงแบ่งเป็นในส่วนของกิจการโทรศัพท์พื้นฐานอยู่ที่ระดับ
2% อัตราภาษีโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในอัตรา 10%
"คาดว่าทางกรมจะมีรายได้จากภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมประมาณ900-1,000 ล้านบาท ต่อเดือน"
ส่วนโอกาสจะมีการปรับภาษีในขณะนี้ยังไม่มีการปรับ เพราะในเบื้องต้นต้องการให้ผู้ประกอบการทุกรายสามารถแข่งขันได้อย่างปกติ
แต่ในอนาคตในส่วนของพิกัดอัตราภาษีสามารถ เปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นและความพร้อมของภาคเอกชนซึ่งต้องให้ผู้ประกอบการอยู่ได้สงบไม่มีปัญหาโดยจะต้องดูเรื่องของราย
รับก่อนและทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การตัดสินใจของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร
(ITC)
สำหรับประเด็นที่สมาชิกพรรคฝ่ายค้านได้ยื่นหนังสือพร้อมด้วยรายชื่อส.ส.จำนวน
115 คน เพื่อให้ส่งความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินัยฉัยว่าการออกพ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.พิกัดอัตรา
ภาษีสรรพสามิตและพ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิตขึ้นโดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
นั้น
นายสถิตย์ระบุเพียงว่าหากผลทางกฎหมาย เกี่ยวกับความรับผิดชอบไม่มีตรงนี้ทางกรมสรรพสามิตจะต้องคืนเงินที่เรียกเก็บภาษีจากผู้ประกอบการไป
ซึ่งในส่วนนี้ทางกรมมีกลไกในการชำระคืนอยู่แล้ว
นางสิรินุช พิศลยบุตร รองอธิบดี กล่าวอย่างชัดเจนว่ารายรับของผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมนับตั้งแต่วันที่
28 ม.ค.ที่ผ่านมาให้ถือว่าต้องเสียภาษี โดยภายในวันที่ 15 ก.พ.นี้ รายรับในช่วงวันที่
28-31ก.พ.ที่ผ่านมาจะต้องชำระภาษีให้กับทางกรมฯส่วนรับของเดือน ก.พ. ให้ยื่นภายในวันที่
15 มี.ค.
"คิดว่าผู้ประกอบการสามารถยื่นเสียภาษีของเดือนมกราคมได้ทันหลังจากรับฟังคำชี้แจงจากกรมไปแล้ว"
ตรวจผู้ประกอบการผลักภาระให้ประชาชน
ด้านตัวแทนจากกิจการโทรคมนาคม กล่าว ว่าในเรื่องกระบวน การชำระภาษีให้กับกรมสรรพสามิตตรงนี้คิดว่าไม่มีปัญหาเพราะเป็นกระบวนการที่จะต้องดำเนินการอยู่แล้ว
แต่ยังมีหลายๆประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน อย่างเช่น ทางกรมสรรพสามิตจะเรียกเก็บภาษีจากราคาจริง
แต่ในทางปฏิบัติแล้วผู้ประกอบการจะมีบริการการคิดค่าบริการแบบเหมาจ่ายซึ่งหากผู้ประกอบ
การไม่ใช่ราคาจริงจะใช้แบบราคาเหมาจ่ายจะได้หรือไม่ หรือแม้แต่การบริการเสริมจะใช้เป็นรายรับได้หรือไม่
นายวรุธ สุวกร ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายผลประโยชน์ บริษัท ทศท คอร์เปอเรชั่น จำกัด
มหาชน เปิดเผยว่า จากการที่เข้าร่วมรับฟังการชี้แจงว่า ยังมีข้อสงสัยในหลายเรื่อง
ซึ่งคงจะต้องหารือร่วมกับกรมสรรพสามิตอีกครั้ง
ส่วนกรณีที่มีการหักค่าสัมปทานบางส่วนมาเป็นภาษีสรรพสามิตซึ่งทำให้รายได้ของทศท.
ลดลงนั้น คิดว่า ในเรื่องนี้ ทศท. และรัฐไม่เสียประโยชน์ เนื่องจากกลไกส่วนแบ่งรายได้จากค่า
สัมปทานยังคงมีอยู่ และการแข่งขันในตลาดก็ยังคงเป็นในรูปแบบเดิม จึงขอยืนยันว่า
จะไม่มีการผลักภาระไปสู่ประชาชนเป็นอันขาด
นายมิตร เจริญวัลย์ ประธานสหภาพ แรงงาน บริษัท ทศทฯ กล่าวว่า โดยปกติการจ่ายสัมปทานจะคิดจากรายได้บริษัทที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ซึ่งกรมสรรพสามิตจะเรียกเก็บรายได้แค่จากค่าบริการรายเดือน และการใช้งาน ซึ่งเป็น
การจัดเก็บที่น้อยลงกว่าค่าสัมปทานที่คำนวณจากรายได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องการที่จะแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้
เพราะเป็นเรื่องการเมืองไปแล้ว ก็ปล่อยให้การเมืองว่ากันให้จบไปก่อน
แหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิต กล่าวเพิ่มเติมสำหรับประเด็นข้อสงสัยของผู้ประกอบการว่ากรมสรรพสามิตจะใช้เกณฑ์รายได้แบบใดในการจัดเก็บภาษีนั้น
ในเรื่องนี้ของอธิบายว่าภาษีสรรพสามิตจะยึดเกณฑ์การจัดเก็บจากฐานรายได้ทั้งหมดในการให้บริการจริงซึ่งเป็นรายได้ที่มีการตกลงในสัญญาสัมปทานเดิมของคู่สัญญาแต่ละราย
ส่วนรายได้ที่นอกเหนือจากในสัญญา กรมจะไม่จัดเก็บเพราะถือเป็นรายอื่นๆ
ขณะเดียวกันหากมีภาคเอกชนรายได้ลักลอบผลักภาระให้กับประชาชน กรมก็มีวิธีการตรวจสอบย้อนหลัง
ตามวิธีการภาษี ซึ่งมีความรัดกุม จึงยืนยันว่า ผู้บริโภคจะไม่ได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในครั้งนี้