|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บอร์ด อสมท มีมติการประชุมบอร์ดครั้งที่ 3 กรณีไร่ส้ม เป็นเรื่องของความผิดทางวินัยของไร่ส้ม บอร์ดโยนลูกส่ง“พงษ์ศักดิ์”รักษาการ ผอ.ใหญ่ อสมท ดำเนินการแทน ส่วนผังรายการใหม่"คุยคุ้ยข่าว"และ "ถึงลูกถึงคน" ยังเหนียว พร้อมเน้นผลิตเองมากขึ้นเป็น 50% จากเดิม 43% ส่งรายการใหม่เนื้อหาสาระหวังเรียกเรตติ้ง ลงมติผังใหม่เริ่ม 1 ม.ค.-30 มิ.ย.50 ขณะที่แต่ละรายการที่อยู่ในผังใหม่มีสิทธ์ถูกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาโดย เช็คจากเรตติ้ง รายได้ และจากไกด์บุ๊ก ด้านกลุ่มพลังอสมท ออกแถลงการณ์อีก ส่วนปัญหาไอทีวีคาดสัปดาห์นี้ส่งถึงอัยการสูงสุด
คณะกรรมการ บมจ.อสมท ได้ประชุมบอร์ดครั้งที่ 3 เมื่อวานนี้(14 พ.ย.) ตั้งแต่เวลา 13.30 น.-18.00 น.โดยมีวาระการประชุมในเรื่องของ กรณีการร้องเรียน การทุจริตของบริษัทไร่ส้ม จำกัด และเรื่องของผังรายการใหม่ เป็นสำคัญ
นายบุญปลูก ชายเกตุ ประธานบอร์ด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า การประชุมบอร์ด อสมท ครั้งที่ 3 นี้ ได้มีมติออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเรื่องของการร้องเรียนกรณีการทุจริตของ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวได้มอบให้ทางนายพงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท เป็นผู้รับหน้าที่ในการพิจารณาสอบสวนต่อไป โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน จึงจะสรุปผลออกมาได้ และจะมีการประกาศให้ประชาชนรับทราบ
“ทางบอร์ดไม่ได้มีหน้าที่ในการพิจารณา ยกเว้นแต่เมื่อทางไร่ส้มจะมีการอุทรณ์เกิดขึ้น ทางบอร์ดจึงจะเข้าไปทำหน้าที่ดูแลตรงนั้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ระบุชัดว่าไร่ส้มผิด ”
ขณะที่ในเรื่องของผังรายการใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ การพัฒนาการแห่งข่าวสารนั้น จะเน้นเนื้อหาสาระมากขึ้น เพิ่มความหลากหลายของคอนเท้นท์ โดยบริษัทฯจะเน้นผลิตเอง 50% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ที่ผลิตเองเพียง 43% และยังคงสัดส่วนผังรายการเป็นประเภทรายการเกี่ยวกับข่าว 40% สาระความรู้ 40% และบันเทิงอีก 30% ขณะที่ช่วงไพรม์ไทม์ ที่ถือเป็นจุดแข็งนั้น ก็ยังคงจุดแข็งไว้เช่นเดิม ส่วนช่วงนอน ไพรม์ไทม์ จะเพิ่มแวลู ทั้งในเรื่องของเนื้อหาและโฆษณามากยิ่งขึ้น
“บริษัทฯจะเน้นผลิตรายการเองมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วนถึง 50% เพราะพนักงานของบริษัทฯเองมีศักยภาพสูงที่จะสามารถผลิตรายการเองได้ โดยมีผู้ดำเนินรายการที่เป็นพนักงานของบริษัทฯด้วยเช่นเดียวกัน ขณะที่รายการใหม่ที่จะเกิดขึ้นนั้นยังต้องคำนึงถึงความถนัดและเนื้อหาที่จะนำเสนอด้วย ซึ่งหากเป็นรายการที่ไม่ถนัด ก็อาจจะให้ทางผู้จัดรายอื่นเข้ามาทำ หรืออาจะเป็นการผลิตร่วมกัน”
สำหรับกรณี รายการคุยคุ้ยข่าว และ ถึงลูกถึงคนนั้น ที่มีกระแสข่าวว่าจะไม่อยู่ในผังใหม่นั้น ทางบอร์ดมีมติออกมาว่า ทั้งสองรายการยังอยู่ในผังรายการใหม่ ขณะที่รายการถึงลูกถึงคนนั้น รายการดังกล่าวเป็นรายการที่ทางบริษัทฯเป็นผู้ผลิตเอง ดังนั้นจึงยังคงอยู่ในผัง แต่อาจมีการเพิ่มความหลากหลายในเรื่องของสาระและแขกรับเชิญมากยิ่งขึ้น
ส่วนรายการใหม่ที่จะมีเข้ามาในผังนั้น ได้แก่ ช่วงเวลา 10.30 น. –11.30น. ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ จะมีรายการ ภัยรายวัน ออกอากาศ โดยทางบริษัทฯเป็นผู้ผลิตเอง รายการ ปราชญ์เดินดิน ทาง พาโนรามา เป็นผู้ผลิต จะออกอากาศในวันเสาร์และอาทิตย์ รายการ โลกมหัศจรรย์ ออกอากาศในวันเสาร์เวลา 11.00น.-11.30น. รายการดีมากๆ(What’s good for you) ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 17.30น.-18.00น. ส่วนรายการหลุมดำนั้น จากเดิมที่เป็นรายการนำเสนอปัญหาเชิงลบ และออกอากาศในคืนวันเสาร์นั้น จะมีการปรับรูปแบบรายการและเปลี่ยนชื่อรายการใหม่เป็น “จุดเปลี่ยน” โดยจะนำเสนอรายการในลักษณะเชิงบวกแทน แต่ยังคงเวลาเดิม และผู้ผลิตโดยบริษัท ทีวีบูรพา จำกัดเช่นเดิม
ขณะที่รายการข่าวภาคค่ำนั้น จากเดิมแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ 17.30น.-18.30 น. และเวลา 19.30น.-20.30น. โดยมีรายการ เกมทศกัณฑ์ คั่นไว้นั้น จะเปลี่ยนเป็น รายการข่าวช่วงเดียว เริ่มตั้งแต่เวลา 19.00 น.-20.30 น.โดยก่อนจะเข้าสู่รายการข่าวภาคค่ำนั้น จะมีรายการ เกมทศกัณฑ์แปลงร่างออกอากาศก่อนในเวลาประมาณ 18.30 น.
นายบุญปลูกกล่าวว่า แต่ละรายการในผังรายการใหม่ครั้งนี้ จะมีการประเมินผลอยู่ตลอดเวลา ทั้งในแง่ของ เรตติ้งจะมีการประเมินผลทุกสัปดาห์ ด้านรายได้ และการตอบรับจากผู้บริโภค ที่เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ จะมีการประเมินทุกๆ 2 เดือน ผ่านไกด์บุ๊กที่ทางบริษัทฯได้จัดทำขึ้นสำหรับใช้ในการประเมินผลครั้งนี้ โดยอาจจะขอความร่วมมือจากสถาบันที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการประเมินผลเข้ามาช่วยตรวจสอบให้ด้วย แต่ทั้งนี้ทุกๆรายการนั้น สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา
หวั่นคนอสมท. ตกเป็นเครื่องมือ
นายศิริชัย ไม้งาม เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กล่าวถึงปัญหาภายในของบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) ว่า ได้ฝากเตือนไปยังสหภาพแรงงาน อสมท.แล้วว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวจะต้องเช็คกระแสภายนอกองค์กรด้วยว่า เขาคิดกันอย่างไรในเรื่องของความขัดแย้ง สังคมข้างนอกเขามองคนใน อสมท.อย่างไร
“ประเด็นนี้ผมเห็นว่า เป็นเรื่องของนโยบายรัฐบาลที่จะสามารถดำเนินการอะไรก็ได้ อย่ามัวแต่เงื้อง่าราคาแพงเพราะรัฐบาลชุดนี้ทำได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว ทั้งเรื่องให้ อสมท.ออกจากตลาดหลักทรัพย์หรือกลับมาเป็นองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยตามเดิม อย่างไรก็ตามประเด็นที่ผมเป็นห่วงคือ กลัวว่าพนักงาน อสมท.จะกลายเป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่มที่เข้ามาสร้างความขัดแย้งในองค์กร เพื่อให้หุ้นราคาต่ำและเข้ามาช้อนซื้อหุ้นเพื่อเทขายในภายหลัง”นายศิริชัยกล่าว
กลุ่มพลังอสมทออกแถลงการณ์ฉบับที่ 8-9
ด้านกลุ่มพลัง อสมท ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 8 “ประสานใจคลายวิกฤติ อสมท” หลังจากพนักงานทุกฝ่ายประชุมร่วมกันอีกครั้งเมื่อเย็นวันที่ 13 พ.ย. เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันถึงความคืบหน้าการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้ององค์กรที่มีเจตนาบริสุทธิ์และสังคมรับรู้ว่า ไม่ได้เคลื่อนไหวเพราะผลประโยชน์และหุ้น รวมทั้งย้ำว่า การเคลื่อนไหวของพนักงาน อสมท ไม่เกี่ยวข้องหรือโยงกลุ่มการเมืองใดๆ และจากวันนี้ไป ชาว อสมท ยังมีจุดยืนสวมเสื้อดำ สำหรับวิกฤติ อสมท ที่ยังคงอยู่ พนักงานเห็นตรงกันว่า จะรีบคลี่คลายปัญหาให้เร็วที่สุด เพราะต้องการใช้เวลาเพื่อทำประโยชน์ให้ประชาชนมากกว่า โดยการหาทางออกไม่ใช่การตัดสินใจของใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่มาจากฉันทามติของเพื่อนพนักงานที่ร่วมระดมความเห็นจากตัวแทนทั้ง 44 ฝ่าย แต่ขึ้นอยู่กับผู้บริหารว่ามีความประสงค์จะรับทราบปัญหาและร่วมหาข้อยุติให้กับวิกฤติที่ยังคงอยู่ใน อสมท หรือไม่ ส่วนข้อเรียกร้องกรณีนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ยื่นต่อนายกรัฐมนตรี ขอให้สังคมและรัฐบาลตัดสิน เพราะเป็นเรื่องเชิงนโยบาย
นอกจากนี้ยังออกแถลงการณ์ฉบับที่ 9 “ให้สังคมพิพากษา” โดยคาดหวังว่า “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” นายกรัฐมนตรี จะเข้ามาดูแลปัญหา อสมท ในเวลาอันสมควร ตามที่ได้กรุณาระบุไว้ในเวที “นายกฯ พบสื่อมวลชน” ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันจันทร์ที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังนำคำพูดของ นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีความชัดเจนถึงความคิดในการปรับผังรายการของ อสมท เป็นอย่างไร เพราะออกมายอมรับสารภาพต่อสาธารณชน ว่า ได้มีการดำเนินการพูดคุยกับผู้จัดรายการจริงตามที่ กลุ่มพลัง อสมท เคยร้องเรียนไป และเตรียมคืนความชอบธรรมให้ผู้จัดรายการที่ถูกถอดออกจากผังช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้อ้างว่าไม่ทราบว่ากลุ่มดังกล่าวเป็นผู้จัดรายการ คิดว่าเป็นเพียงกลุ่มนักธุรกิจด้านสื่อสาร ซึ่งสิ่งที่นายธีรภัทร์ ดำเนินการนั้น ทำให้เห็นแล้วว่า ไม่ได้คำนึงถึงความโปร่งใสและเป็นธรรม ความจริงทั้งหมดขอให้ประชาชนและสังคมเป็นผู้ตัดสิน เพราะกลุ่มพลัง อสมท ทำอย่างดีที่สุดแล้ว
ส่งไอทีวีให้อัยการสูงสุดสัปดาห์นี้
ส่วนความคืบหน้าเรื่องปัญหาบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) นั้น นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะสามารถส่งเรื่องไอทีวีให้อัยการสูงสุดพิจารณาได้ หลังจากที่ได้ส่งเรื่องไปให้คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุดว่าจะฟ้องศาลแพ่งหรือศาลปกครอง ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาอีก 6 เดือนต้องทำให้เสร็จ ล่าสุดค่าปรับไอทีวีอยู่ที่ประมาณ 94,000 ล้านบาทแล้ว
สำหรับผังรายการของไอทีวีนั้น ได้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อเข้าไปทำหน้าที่ดูแลแล้ว แต่ต้องรอการอนุมัติจากทางนายกรัฐมนตรีก่อน ซึ่งผังรายการปี 2550 จะต้องเป็นไปตามสัญญาที่ทำกันไว้ คือ ข่าวและสารคดี 70% บันเทิง 30%
|
|
|
|
|