Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน14 พฤศจิกายน 2549
โบรกฟันธงเงินทุนไหลเข้าเอเชียแนะปีหน้าจับตานโยบายรัฐบาลชุดใหม่             
 


   
search resources

Investment




โบรกเกอร์ มองตลาดหุ้นไทยปีหน้ายังดีอยู่ เชื่อสภาพคล่องตลาดโลกจะไหลเข้าภูมิภาคเอเชีย แต่ให้จับตาในปีหน้า รัฐบาลใหม่ที่เข้ามารับช่วงต่อจากรัฐบาลนี้จะเป็นอย่างไร พร้อมประเมินหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังน่าลงทุน

วานนี้ (13 พ.ย.) สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ได้จัดงานมหกรรมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ 2549 ครั้งที่ 2 โดยได้จัดสัมมนา "เศรษฐกิจและตลาดหุ้นหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง" โดยมีนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส, นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้และนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์

นายก้องเกียรติ กล่าวว่า หลังจากที่มีการปฏิรูปทางการเมืองส่งผลทำให้หลายคนมีความเป็นห่วง เพราะไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะนักธุรกิจจะต้องมีการวางแผนงานไว้ล่วงหน้าเป็นปี จึงทำให้เกิดความไม่มั่นใจพอสมควร

ในส่วนของนักวิเคราะห์หรือนักเศรษฐศาสตร์ก็ได้มีการปรับประมาณการเติบโตทางตัวเลขเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่เคยมองว่าในปีนี้จะมีตัวเลขจีดีพีอยู่ที่ระดับ 4.42% แต่หลังการปฏิรูปทางการเมืองก็มีการปรับตัวเลขลดลงเล็กน้อย ในส่วนของตัวเลขจีดีพีของปี 2550 เดิมเคยมองว่าจะอยู่ในระดับ 4.6% ได้ปรับลดลงเหลือ 4.4%

ทั้งนี้ การที่รัฐบาลได้มีการออกมาชี้แจงเกี่ยวกับแผนงานหรือทิศทางที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อนที่มีการจัดโรดโชว์และมีรัฐมนตรีที่ดูแลเกี่ยวกับเศรษฐกิจได้ออกมาชี้แจง ทำให้มีความชัดเจนมากขึ้นทั้งในแง่ของสภาพเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างไร,นโยบายสำคัญต่างๆ ทั้งในแง่ของพลังงานทดแทนจะเป็นอย่างไร และได้มีกรอบเวลาใช้จ่ายงบประมาณในปีหน้าเป็นอย่างไรบ้าง

สำหรับปีหน้าปัจจัยบวกที่มีผลต่อตลาดหุ้นนั้น ประกอบด้วยเศรษฐกิจซึ่งถ้าเป็นไปอย่างที่รัฐบาลวางแผนไว้จะทำให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลง ซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อการลงทุน และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงมากนัก ปัจจัยบวกดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าคงจะโตในระดับเลขตัวเดียว ส่วนปัจจัยลบ จะเกี่ยวกับหนี้จำนวนมากของสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์ให้อ่อนค่าลง ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงของทั้งโลก

นอกจากนี้ ในปลายปีหน้าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งใหม่ จะต้องรอดูว่ารัฐบาลใหม่เป็นอย่างไร ซึ่งถ้ารัฐบาลใหม่มีนโยบายไม่ชัดเจน และเป็นรัฐบาลผสม และถ้าเป็นนักการเมืองหน้าเดิมๆ นโยบายมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชน และเป็นลักษณะเหล้าเก่าในขวดใหม่ ก็ถือว่ามีความเสี่ยงเช่นกัน อย่างไรก็ตามมองว่าสภาพเศรษฐกิจของไทยในปีหน้ายังถือว่าดีอยู่ เพียงแต่จะต้องตรวจสอบสม่ำเสมอว่าเป็นอย่างไรบ้าง

นายไพบูลย์ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ ปริมาณเงินที่ไหลเข้าออก ซึ่งในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาสภาพคล่องนั้นจะตึงตัว แต่ก็ยังมีเงินไหลเข้าในภูมิภาคเอเชียจำนวนมาก ซึ่งถ้าสถานการณ์ในปีหน้าสภาพคล่องมากขึ้น ก็เชื่อว่าจะมีเงินทุนไหลเข้าในภูมิภาคเอเชียอีกมาก ซึ่งส่วนหนึ่งคงจะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตลาดหุ้นหลายแห่งได้มีการทำสถิติปรับตัวขึ้นมาสูงสุดใหม่ ขณะที่ตลาดหุ้นของไทยนั้นเคยขึ้นมาสูงสุดในอดีต 1700 จุด แต่ขณะนี้เคลื่อนไหวอยู่ที่ 740 จุด ซึ่งโอกาสที่จะขึ้นมาทำสถิติใหม่คงจะต้องใช้เวลา โดยในปีหน้าเชื่อว่า ดัชนีคงจะอยู่ในระดับ 800 จุด ดังนั้นจึงถือได้ว่าตลาดหุ้นไทยเสียโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางกรเมือง

"ช่วงที่ผ่านมาประเทศในแถบเอเซียได้มีการแทรกแซงค่าเงินจนทำให้ค่าเงินไม่แข็งจนเกินไป ในส่วนค่าเงินบาทไทยนั้นประเมินว่าในปีหน้าระดับที่เหมาะสมจะอยู่ในระดับ 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ"

ปัจจัยที่สองได้แก่กำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งคาดว่าภายในปีหน้าจะเติบโตประมาณ 6-7% ซึ่งยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ปัจจัยที่สามได้แก่มูลค่าตลาดหุ้น โดยพิจารณาจากค่าพี/อี เรโช หรือมูลค่าหุ้นทางบัญชี ซึ่งตลาดหุ้นไทยนั้นจะมีค่าพี/อี เรโชอยู่ในระดับต่ำ โดยหุ้นที่มีค่าพี/อี ต่ำนั้นส่วนใหญ่จะมีสภาพคล่องไม่มากนัก

นายไพบูลย์กล่าวว่า ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของไทยอยู่ในระดับที่ดี แต่ไม่สอดคล้องกับหุ้นที่ลงทุนเพราะมีหุ้นที่กองทุนต่างประเทศจะสามารถลงทุนได้เพียง 10-20 บริษัทเท่านั้น โดยกองทุนต่างประเทศจะพิจารณาจากมาร์เกตแคปที่มีขนาดใหญ่ และมีสภาพคล่องที่มาก

ทั้งนี้ จะต้องดูในช่วงต่อของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามารับช่วงต่อจากรัฐบาลนี้ว่าจะยังคงนโยบายของรัฐบาลนี้ต่อไปหรือไม่ หรือจะมีนโยบายอื่นๆ เข้ามา

นายสมบัติ กล่าวว่า ตลาดหุ้นปีหน้ามีแนวโน้มที่ดีพอใช้ ในแง่ของผลตอบแทนคงจะอยู่ในระดับพอเพียง ซึ่งจากการสำรวจของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ พบว่ามองว่าตัวเลขจีดีพีอยู่ในระดับ 4.5% ซึ่งดีกว่าปีนี้ที่อยู่ในระดับ 4.4% ส่วนปีหน้ากำไรต่อหุ้นอยู่ในระดับ 4.4% ในส่วนของดัชนีปีนี้มองว่าน่าจะอยู่ในระดับ 744 จุด ซึ่งที่ผ่านมาดัชนีได้เลยจุดดังกล่าวแล้ว ดังนั้นจึงมองว่าดัชนีปลายมีโอกาสปรับขึ้นมาอยู่ในระดับ 750 จุด แต่ถ้าดัชนีปรับขึ้นเกินกว่า 760 จุดก็ถือว่าปรับตัวขึ้นมาสูงเกินไป รวมถึงในไตรมาสแรกของปีหน้าถ้าดัชนีปรับขึ้นมาอยู่ในระดับ 770 จุดก็ถือว่าร้อนแรงเกินไป

หุ้นแบงก์ยังน่าสนใจ

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บล. พัฒนสิน กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ ซึ่งตามปกตินักลงทุนต่างชาติจะเลือกลงทุนในหุ้นทีมีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ ดังนั้นประเมินว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะได้รับความสนใจเมื่อเทียบกับกลุ่มสื่อสาร พลังงาน เนื่องจากมองว่าหุ้นในกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มของผลประกอบการที่เติบโตได้ดี

" หากพิจารณากลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเติบโตไปพร้อมกับการจัดอันดับเศรษฐกิจของประเทศจากBBB+ และหากในปีหน้าเป็นA จะยิ่งทำให้ค่าพีอีสามารถปรับเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 13-15 เท่าได้ ประกอบกับการตั้งสำรองเอ็นพีแอลตามเคสโฟร์ของธนาคารเป็นเรื่องที่ดีเพราะต่างชาติจะให้ความสำคัญในการลงทุน ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในประเทศที่เกิดขึ้นไม่น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญแล้วเพราะได้นิ่งแล้ว"

ด้านนางสิริณัฎฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล. ไซรัส กล่าวว่า มองว่าการใช้มาตราฐานทางบัญชีใหม่ของธนาคารพาณิชย์กับการตั้งสำรองเอ็นพีแอล อาจจะส่งผลให้ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4 ลดลงโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กที่มีเงินสำรองต่ำอาจจะต้องมีการพิจารณาแนวทางในการเพิ่มทุนหรือไม่

ทั้งนี้ ประเมินว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไม่น่าปรับตัวลดลงมากถึงแม้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้กำไรจะลดลงบ้างก็ตามจากการตั้งสำรอง เช่นธนาคารกรุงศรีที่มีบริษัทจีอีแคปปิตอลเข้ามาร่วมทุนทำให้ไม่จำเป็นต้องมีการตั้งสำรองเพิ่ม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us