Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน13 พฤศจิกายน 2549
ปูนใหญ่รับมือราคาปิโตรฯทรุดเน้นผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูงขึ้น             
 


   
www resources

โฮมเพจ เคมีภัณฑ์ซิเมนต์ไทย

   
search resources

Chemicals and Plastics
ชลณัฐ ญาณารณพ
เคมีภัณฑ์ซิเมนต์ไทย, บจก.




กลุ่มเคมีภัณฑ์เครือซิเมนต์ไทยวางแผนรับมือราคาปิโตรเคมีทรุดปีหน้า เน้นผลิตเม็ดพลาสติกที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1 /3ของกำลังการผลิตรวม มั่นใจรายได้กลุ่มเคมีภัณฑ์ปี2550 ไม่ต่ำกว่าปีนี้ที่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ยอมรับโครงการโรงโอเลฟินส์ แห่งที่ 2 และดาวน์สตรีม ต้นทุนค่าก่อสร้างพุ่งขึ้น 10% ทำให้มูลค่าการลงทุนรวมเฉียด 7หมื่นล้านบาท

นายชลณัฐ ญาณารณพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เคมีภัณฑ์ซิเมนต์ไทย จำกัด ในธุรกิจเคมีภัณฑ์เครือซิเมนต์ไทย (SCG) เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทจะให้ความสำคัญในการผลิตเม็ดพลาสติกที่มีมูลค่าเพิ่ม (High value added ) เพื่อลดผลกระทบจากราคาพลาสติกที่จะปรับตัวลดลง เนื่องจากมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นจำนวน 5.8 ล้านตันในปี 2550 โดยตั้งเป้าหมายว่าจะผลิตพลาสติกที่มีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นสัดส่วน 1/3 ของกำลังการผลิตรวม จากปีนี้ที่มีการผลิตเม็ดพลาสติกที่มีมูลค่าเพิ่มเพียง 1/4 ของกำลังการผลิตรวม

โดยปีนี้กลุ่มเคมีภัณฑ์ซีเมนต์ไทยคาดว่าจะมีรายได้รวม 9 หมื่นล้านบาท (ไม่รวมการรับรู้รายได้จากบมจ.ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์อีก 2 หมื่นล้านบาท) ซึ่งการพัฒนาเม็ดพลาสติกที่มีมูลค่าเพิ่มทำให้ลูกค้ายอมจ่ายพรีเมี่ยมในการซื้อเม็ดพลาสติกจากราคาปกติ 5%ขึ้นไป ดังนั้นในปี 2550 กลุ่มเคมีภัณฑ์ในเครือซิเมนต์ไทยคาดว่าจะมีรายได้ไม่น้อยกว่าปีนี้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันด้านราคา แต่ก็มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวด (Debottle Neck)

ทั้งนี้ บริษัทฯได้มีการพัฒนาและสร้างนวตกรรมใหม่ (INNOVATION) ซึ่งช่วยเพิ่มค่าสินค้าและบริการ โดยมองความต้องการของลูกค้าในอนาคต และเร่งสร้างแบรนด์ภายใต้ชื่อSCG เพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในตราสินค้า ซึ่งเรื่องดังกล่าวจำเป็นต้องใช้เวลาในการปลูกฝังความเชื่อมั่นในแบรนด์ แม้ว่าปัจจุบันเม็ดพลาสติกของปูนใหญ่ลูกค้าจะให้เชื่อมั่นก็ตาม

ที่ผ่านมา บริษัทฯได้ว่าจ้างโซโลมอนเข้ามาวัดขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ผลปรากฎว่าโรงโอเลฟินส์ แครกเกอร์ของเครือซิเมนต์ไทยติดอันดับ 25%แรกของโลก ขณะที่โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกอยู่ที่อันดับ 25-50%ของโลก เนื่องจากเป็นโรงงานที่เปิดดำเนินการมานานแล้ว แต่ก็มีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมาโดยตลอด

"โรงโอเลฟินส์แครกเกอร์ของปูนใหญ่ถือเป็นโรงงานแนฟธา แครกเกอร์ชั้นนำของโลก ซึ่งโรงโอเลฟินส์ใหม่ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบมากกว่าแนฟธา ส่วนโรงงานปิโตรเคมีของญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กเน้นผลิตเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษหรือEngineering Plastic ที่มีมูลค่าสูง เนื่องจากเสียเปรียบด้านโรงโอเลฟินส์ แต่ได้เปรียบด้านดาวน์สตรีม ซึ่งปูนใหญ่ก็มีนโยบายเช่นเดียวกับญี่ปุ่น ซึ่งขณะนี้กลุ่มปิโตรเคมีเครือซิเมนต์ไทยถือเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในอาเซียน"

นายชลณัฐ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างโรงโอเลฟินส์ แห่งที่ 2 ว่า จากการตึงตัวภาคก่อสร้างอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและค่าวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนค่าก่อสร้างโรงโอเลฟินส์แห่งที่ 2 เพิ่มสูงขึ้น 10% มาเฉียด 7 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ โรงงานโอเลฟินส์แห่งที่ 2 ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 45,600 ล้านบาท จะมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์ 1.7 ล้านตันต่อปี ประกอบด้วยเอทิลีน 900,000 ตันต่อปี และโพรพิลีน 800,000 ตันต่อปี และจะมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกถึง 700,000 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จครึ่งแรกของปี 2553 ทั้งนี้จะใช้เทคโนโลยีซึ่งสามารถผลิตโพรพิลีนได้ปริมาณสูงสุด รองรับภาวะอุปทานที่ตึงตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากส่วนใหญ่โรงงานผลิตโอเลฟินส์ที่สร้างใหม่จะมาจากตะวันออกกลาง และใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบในการผลิต ทำให้มีกำลังการผลิตโพรพิลีนและผลิตภัณฑ์อื่นๆ น้อย

ส่วนโครงการดาวน์สตรีม มีมูลค่าการลงทุน 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือ ประมาณ 17,100 ล้านบาท ประกอบด้วยเม็ดพลาสติก HDPE 400,000 ตันต่อปี และ PP 400,000 ตันต่อปี   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us