Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์13 พฤศจิกายน 2549
ตลท.มุ่งพิชิตแนวรบอินเตอร์เปิดกลยุทธ์ทีมเวิร์คครบวงจร             
 


   
www resources

โฮมเพจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ภัทรียา เบญจพลชัย
Stock Exchange




ตลาดหลักทรัพย์ประกาศแผนงานปี 2550 เน้นทีมเวิร์ก SET - Mai - BEX - TFEX มุ่งสู่ความเป็นตลาดทุนครบวงจรเทียบชั้นตลาดระดับสากล เพิ่มทั้งผลิตภัณฑ์พร้อมนักลงทุน วางเป้ามูลค่าหุ้นใหม่เข้าเทรด 1.2 แสนล้านบาท เล็ง 5 ปีหน้ามูลค่าตลาดฯเขยิบเทียบชั้นกับGDP เล็งดึงบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจเข้ามาระดมทุน พร้อมเพิ่มจำนวนหุ้นและสภาพคล่องซื้อขายบริษัทจดทะเบียน หวังเห็น MSCI เพิ่มน้ำหนักการลงทุนตลาดไทยเป็น 3%

แม้วว่าการบริหารตลาดทุนในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาภายใต้การนำโดยนายหญิง ภัทรียา เบญจพลชัย และคณะ จะยังไม่สามารถสร้างความประทับใจได้เท่าไหร่นักสำหรับผู้ที่มองอยู่ภายนอก ทั้งเรื่องการโยกย้ายตำแหน่งสำคัญภายในที่มีการตั้งข้อสงสัยเคลือบแคลง, ช่วงเศรษฐกิจขาลงซึ่งทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลุ่มๆดอนๆไม่ไปไหน และยังมีปัญหาที่น่าปวดหัวจากการขายหุ้นเทมาเส็กของรัฐบาลชุดที่แล้วให้ต้องมานั่งตอบคำถามนักข่าวกันไม่จบไม่สิ้นอีก ... เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจที่จะต้องมานั่งแก้ปัญหามากกว่าจะได้ใช้เวลาสร้างสรรค์ผลงานใหม่

ช่วงที่ผ่านมาก็คงไม่ต่างอะไรกับการปรับฐาน ทว่าสิ่งที่สำคัญกว่าอดีตก็คืออนาคต ทิศทางของตลาดทุนในช่วงต่อไปจากนี้มากกว่า ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร การดำเนินงานจะเป็นเช่นไร คงจะต้องดูที่พิมพ์เขียวหรือแผนงานล่าสุดที่ได้ประกาศออกมาซึ่งเปรียบได้กับหางเสือนำทาง

สำหรับแผนการดำเนินงานปี 2550 ที่เพิ่งจะได้รับการอนุมัตินี้ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในแผนย่อยที่ออกมาเพื่อสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ 3 ปีของตลาดหลักทรัพย์(2550-2552)ซึ่งได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ โดยมีเป้าหมายในการเป็นตลาดรองที่ครบวงจร มีผลิตภัณฑ์ที่ครบถ้วนหลากหลายและมีคุณภาพ รวมถึงเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่มีความสำคัญของภูมิภาค

ภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวถึงการเริ่มต้นงานชิ้นสำคัญที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าคือ จะมีการออกกองทุนETF (Exchange Traded Fund) ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมในช่วงไตรมาส 2 โดยมีมีมูลค่าขั้นต่ำครั้งแรกของกองทุน 300 ล้านบาท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์จะสนับสนุนงบประมาณจัดตั้งด้วย 100 ล้านบาท ขณะที่นโยบายการเพิ่มบริษัทจดทะเบียนแม้จะไม่มีการเดินหน้าเพื่อแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่อ แต่ก็จะดึงบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจเข้ามาจดทะเบียนแทน

ส่วนการเพิ่มสภาพคล่องหุ้น(Free Float) จากปริมาณการหมุนเวียนปัจจุบันที่ตลาดหลักทรัพย์(SET) มีอัตราส่วนที่ 0.8 เท่า และตลาดหลักทรัพย์ Mai มีอัตราส่วนที่ 0.9 เท่าให้มากขึ้นนั้น จะเริ่มโดยการผลักดันจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่มีหุ้นหมุนเวียนเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดจากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 45%ให้เป็น 50% เชื่อว่าถ้าสามารถเพิ่มอัตราการหมุนเวียนของหุ้นให้มากขึ้นได้ ภายใน 3 ปีข้างหน้าดัชนีมอร์แกนสแตนเลย์(MSCI) ก็มีโอกาสที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 2.3% จะเพิ่มขึ้นเป็น 3% รวมถึงจะเพิ่มผู้ดูแลสภาพคล่อง (Maker Maker) อย่างน้อย 3 รายเพื่อเข้ามาสร้างสภาพคล่องให้ตลาดฯ

นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะลดเวลาและขั้นตอนในการนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนเป็นขั้นเป็นตอนให้เป็นไม่เกิน 60 วันในปี 2552 ซึ่งจะทำร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับกฎเกณฑ์และมาตรฐานให้ทัดเทียมกับตลาดหลักทรัพย์สำคัญอื่นๆ

ด้านนโยบายการเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ วิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้มีการตั้งเป้าหมายของมูลค่าตลาด (Market Cap) ในปีนี้ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.2 ล้านล้านบาท จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 5 ล้านล้านบาท โดยมูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้นนั้นจะมาจาก ทั้งการเพิ่มขึ้นของจำนวนและมูลค่าของหุ้นเดิมรวมทั้งหุ้นตัวใหม่ๆที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดฯอีกประมาณ 1.2 แสนล้านบาท

โดยตั้งเป้าว่าจะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 40 แห่งโดยจะเน้นไปที่กลุ่มยานยนต์และธุรกิจบริการท่องเที่ยวเป็นหลัก เฉลี่ยแล้วแต่ละแห่งจะมีมูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท โดยมีเป้าหมายว่าใน 5 ปีข้างหน้า มูลค่าตลาดตลาดหุ้นไทยจะเท่ากับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) ได้

สำหรับผลงานในรอบปีนี้มีบริษัทเข้าจดทะเบียนและได้รับการอนุมัติจากในตลาดหลักทรัพย์แล้วจำนวน 11 แห่ง โดยที่มี 4 แห่งยังไม่กระจายหุ้นส่วนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ก็มีอีก 11 แห่ง ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ Mai นั้นมีบริษัทอยู่ในขั้นตอนของการจดทะเบียนอยู่แล้ว 2 แห่ง และอีก 5 แห่งอยู่ระหว่างการรอการกระจายหุ้นหลังจากที่ได้อนุมัติแล้ว นอกจากนี้อีก 6 แห่งกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณา

ในฟากของมูลค่ารวมของตลาดหลักทรัพย์ Mai คาดว่าในปลายปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 3.4หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่มีอยู่ในระดับ 2.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปีหน้าจะมีบริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนจำนวน 24 แห่ง แต่ละแห่งจะมีมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มี
มูลค่าตลาดจากหุ้นเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2หมื่นล้านบาท

ด้านนโยบายผู้ลงทุน ตั้งเป้าว่าจะมีการเพิ่มนักลงทุนใน 4 ตลาดทั้ง ตลาดหลักทรัพย์(SET) , ตลาดหลักทรัพย์ Mai, ตลาดอนุพันธ์ (TFEX)และจะเน้นไปที่การเพิ่มนักลงทุนรายย่อยในตลาดตราสารหนี้(BEX)ให้มากขึ้นเป็นพิเศษ จากปัจจุบันที่มีนักลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมจากทั้ง 4 ตลาดรวมกัน 4.7 ล้านบัญชีก็น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านบัญชี รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันเพิ่มเป็น 20% ของมูลค่าการซื้อขายในปี 2552 ด้วย

ด้านตลาดอนุพันธ์ (TFEX) เกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงแผนงานที่จะมีการดำเนินงานในปีหน้าว่า ในไตรมาส 2 จะอนุญาตให้มี Maker Maker เข้ามาช่วยดูแลสภาพคล่องพร้อมการเปิดให้มีการส่งคำสั่งซื้อขายตรงเข้ามาที่โบรกเกอร์ได้โดยไม่ต้องมีการพิมพ์คำสั่งซ้ำ (Direct Market Access ) ให้กับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศเพื่อรองรับสินค้าที่จะเกิดขึ้นใหม่ต่อไป นอกจากนี้ในไตรมาส 3 ก็จะมีแผนออก SET50 Index Options ผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เข้ามาซื้อขายเพิ่มเติมในตลาดอีกด้วย จากแผนดังกล่าวคาดว่าจะมีสัญญาการซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็น 5,500-6,000 สัญญาต่อวันจากในปัจจุบันอยู่เฉลี่ยที่ 1,000 สัญญาต่อวัน

ขณะที่ตลาดตราสารหนี้(BEX) สันติ กีระนันทน์ ผู้จัดการ กล่าวถึงแผนในปีหน้าว่าจะมีการสร้างระบบการทำธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน (Private Repo) ซึ่งจะสามารถกำหนดรูปแบบสำหรับการให้บริการได้ รวมถึงจะมีการผลักดันให้มีธุรกรรมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitization)มากขึ้น เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ปี 2551

นอกจากนี้ ตลาดตราสารหนี้จะเชื่อมโยงกับตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ ผลักดันกฎระเบียบการจดทะเบียนข้ามตลาด และการซื้อขาย (Cross Listing) และการซื้อขายข้ามตลาด (Cross Trading) เพื่อให้นักลงทุนสนใจลงทุนในตลาดตราสารหนี้มากขึ้น

ส่วนปัญหาสภาพคล่องตราสารหนี้มีอยู่ 2 แนวทางในการแก้ปัญหาคือ จะให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะซื้อคืนพันธบัตรที่มีจำนวนรุ่นมากแต่มูลค่าไม่มากคืน(Buy Back)แล้วรวบเป็นพันธบัตรรุ่นใหม่ออกมา รวมถึงนโยบายของรัฐบาลปีหน้าที่จะทำงบแบบขาดดุลฯซึ่งก็คาดว่าจะช่วยให้มีจำนวนพันธบัตรมากขึ้นเป็นการแก้ปัญหาไปในตัว

แน่นอนว่าหากแผนทั้งหมดสามารถบรรลุเป้าหมายได้ก็จะช่วยให้ตลาดทุนไทยมีศักยภาพครบวงจรและความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการเน้นด้านปริมาณเป็นสำคัญ ทว่าในระยะยาวหากไม่มีการดูแลเรื่องคุณภาพหรือบรรษัทภิบาลให้เข้มงวดมากขึ้นแล้ว การเพิ่มปริมาณเช่นนี้ก็อาจจะเป็นการเพิ่มปัญหาให้กับตลาดทุนไทยได้ด้วยเช่นกัน แม้วันนี้หุ้นที่เป็นปัญหาอย่าง PICNIC, EVER, D1 หรือ SH ซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็กสร้างปัญหาให้กับผู้คนได้ไม่มาก แต่ในอนาคตใครจะรู้ว่าเราอาจจะเจอกับวิกฤติคุณธรรมที่เกิดขึ้นกับบริษัทขนาดใหญ่แบบ เอนรอน หรือ เวิล์ดคอม อย่างในสหรัฐก็เป็นได้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us