|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
เคทีซีฟุ้งโรดโชว์ยุโรปผลตอบรับดี เตรียมแผนปีหน้าขยายฐานบัตรใหม่เน้นตลาดสินเชื่อส่วนบุคคล มั่นใจนักลงทุนต่างชาติไม่หวั่นปัญหาการเมืองแห่ลงทุนในไทยเพียบ
นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)(KTC) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทเดินทางไปโรดโชว์ในแถบประเทศยุโรป ปรากฎว่ามีนักลงทุนต่างชาติให้การตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมทั้งเข้าใจกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยที่เกิดขึ้น โดยในปี 2550 เชื่อว่านักลงทุนแถบประเทศยุโรปจะหันมาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการเงินและธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเรื้อรังได้ประกอบกับมีปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกันมองโอกาสในการทำกำไรในประเทศเอเชียมีสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทย อีกทั้งเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยในไทยจะเริ่มนิ่งในช่วงกลางปี 2550 ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการตัดสินใจลงทุนที่ง่ายขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานจะถูกลง
“จากการเดินทาง โรดโชว์ ในประเทศแถบยุโรป พบว่านักลงทุนเข้าใจการเมืองไทยเป็นอย่างดี ส่วนใหญ่มองด้านบวกมากว่าเป็นลบ และไม่มีใครถามถึงเรื่องนี้เลย ซึ่งตอนแรกเราก็ห่วง แต่ได้ฟังแล้วก็สบายใจและขณะนี้นักลงทุนหลายกลุ่มเริ่มมีการลงทุนแล้ว สะท้อนได้จากราคาหุ้นของเคทีซีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น” นายนิวัตต์ กล่าว
ทั้งนี้ ในปีหน้าบริษัทจะเร่งขยายฐานบัตรลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น โดยเชื่อว่าจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าในช่วงปีที่ผ่านๆ มา ขณะเดียวกันก็จะหันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น โดยมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนให้สูงขึ้นกว่าในปีนี้ เนื่องจากธุรกิจบัตรเครดิตให้อัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่ถูกกว่า และจำกัดฐานเงินเดือนที่ 15,000 บาท ซึ่งตลาดดังกล่าวถือเป็นตลาดที่ยังแคบ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆตัวอื่นออกมานำเสนอ
“เราพยายามให้น้ำหนักกับสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น รายได้จากอัตราจากดอกเบี้ยก็สมเหตุสมผล ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล 28%ต่อปีทำให้ธุรกิจสามารถอยู่ได้”
สำหรับการหาพันธมิตรต่างประเทศเพื่อมาช่วยในการทำธุรกิจของบริษัท นายนิวัตต์ กล่าวยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเพราะ เชื่อว่าบริษัท มีความสามารถที่จะแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้ เนื่องจากเชื่อมั่นว่าบริษัทมีความสามารถเพียงพอที่จะต่อสู่กับคู่แข่งในตลาดได้ ประกอบกับมีธนาคารกรุงไทยซึ่งเป็นบริษัทแม่มีฐานะแข็งแกร่ง รวมทั้งมีเครือข่ายสาขาที่กว้างขว้าง และบริษัท มีนโยบายที่จะมุ่งเป็นบัตรเครดิตของคนไทย โดยจะเห็นได้จากกรรมการของบริษัทที่ไม่มีต่างประเทศมานั่งเป็นกรรมการ
นายนิวัตต์ กล่าวอีกว่า รายได้ของบริษัทในไตรมาสที่น่าจะมีการเติบโตไม่น้อยกว่าไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา เนื่องจากมีการขยายฐานลูกค้าทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลที่เพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ ต้นปี โดยปัจจุบันมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 400,000ราย ทำให้สร้างรายได้ให้กับบริษัท แต่เฉลี่ยทั้งปีการเติบโตของรายได้บริษัทจะไม่สูงมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากจากในปีนี้บริษัท มีหุ้นกู้ที่ออกขายและครบอายุการไถ่ถอน ทำให้ต้องรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ดังกล่าว ส่งผลให้ต้นทุนด้านดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ต้นทุนด้านอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นทำให้เป็นแรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทด้วย
ทั้งนี้ บริษัทมีปัญหาการยกเลิกบัตรเครดิตต่ำกว่า 5% ในแต่ละปี ซึ่งแสงดให้เห็นว่าลูกค้าส่วนใหญ่อยู่กับบริษัท เป็นเวลานาน ดังนั้นเป็นโอกาสที่บริษัท จะมีการเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการให้กับลูกค้า รวมทั้งบริษัทจะเริ่มทยอยปรับเปลี่ยนบัตรเครดิตจากประเภทแถบแม่เหล็กเป็นติดชิพตั้งแต่ปลายปีนี้ และคาดว่าจะเสร็จสิ้นทั้งหมดไม่เกิน 2 ปี
ซึ่งหลังจากที่เปลี่ยนบัตรเครดิตเป็นบัตรติดชิพ บริษัทจะขยายระยะเวลาการเปลี่ยนบัตรใหม่ให้กับลูกค้า จากเดิมที่ต้องเปลี่ยนทุก 2 ปีเป็นการเปลี่ยนทุก 5 ปี เพื่อไม่ให้กระทบกับต้นทุน
|
|
 |
|
|