|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
อาร์ เค มีเดีย โฮลดิ้ง เปิดแผนการดำเนินธุรกิจ หลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น และผู้บริหารใหม่เข้ามา ตั้งเป้ารุกธุรกิจโทรทัศน์เพิ่มขึ้น คาดหวังไตรมาส 4 จะดีกว่าไตรมาส 3 ที่ถือว่าเป็นช่วงต่ำสุด พร้อมตั้งเป้าไตรมาสแรกผลประกอบการจะกระเตื้องขึ้น จะมีรายได้จากธุรกิจใหม่ จับมือพันธมิตรจัดคอนเสิร์ตดังจากต่างประเทศ นำร่องคอนเสิร์ต "เรน" นักร้องดังจากเกาหลี 3 พ.ย.50 นี้ ชี้ "สุนทร มีสุวรรณ" ผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ ปล่อยให้บริหารเต็มไม่เข้ามาก้าวก่าย ระบุถือเป็นการลงทุน
นายกิตติวัฒน์ มโนสุทธิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์ เค มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) หรือ RK เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยนายสุนทร มีสุวรรณ ได้เข้ามาซื้อหุ้นจากกลุ่มรุ่งธนเกียรติ ทำให้ถือหุ้นมากเป็นอันดับหนึ่งในสัดส่วน 19.65%
ขณะที่กลุ่มตระกูลรุ่งธนเกียรติ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมยังถือในสัดส่วน 14.39% โดยช่วงที่ผ่านมายังไม่การเปลี่ยนแปลงในแง่ของการบริหาร โดยตนได้เข้ามาเป็นผู้บริหารใหม่ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ แผนงานของบริษัทหลังจากเปลี่ยนแปลง ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในธุรกิจใหม่ๆ เช่นธุรกิจที่เกี่ยวกับคอนเทนท์ หรือด้านอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีผู้ใช้เพิ่มขึ้น รวมถึงการจัดคอนเสิร์ตดังจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้มากขึ้น ซึ่งงานแรกได้ร่วมกับบริษัทเอสอาร์ทู เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ซึ่งได้เซ็นสัญญากับเรน ศิลปินนักร้องชื่อดังจากเกาหลีใต้ ซึ่งจะมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท
โดยเงินลงทุนในธุรกิจใหม่นั้นมีหลายทางทั้งการกู้จากธนาคารพาณิชย์ การออกตราสารหนี้ การเพิ่มส่วนของทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในขณะที่จะใช้เงินทุนว่าจะใช้แนวทางใดที่เหมาะสม และบริษัทจะพยายามเลือกจัดคอนเสิร์ตที่สามารถสร้างกำไร
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักของบริษัทยังเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับด้านวิทยุที่ปัจจุบันนี้มีสัดส่วนรายได้ถึง 80% โดยมีคลื่นที่อยู่ในการดูแลประมาณ 32 คลื่น และธุรกิจโทรทัศน์ แต่ที่ผ่านมาธุรกิจด้านวิทยุมีการแข่งขันอย่างรุนแรง โดยบริษัทได้รับผลกระทบจากวิทยุชุมชนที่มีอยู่จำนวนมาก ดังนั้นจะพิจารณาว่าคลื่นใดที่ไม่สามารถสร้างกำไร และประสบปัญหาขาดทุน ก็จะคืนให้กับสถานี จะยังคงเหลือแต่คลื่นที่สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทอยู่ต่อไป ส่วนของธุรกิจด้านโทรทัศน์ จะพยายามจะหาเวลาและช่องทางเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าสัดส่วนรายได้ในอนาคตคงจะเปลี่ยนแปลงจากปัจจุบัน แต่จะเป็นอย่างไรนั้นยังตอบไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะคืนคลื่นวิทยุกี่คลื่น และเวลาที่ได้จากธุรกิจโทรทัศน์เป็นอย่างไรบ้าง
นายกิตติวัฒน์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ของปีนี้บริษัทยังคงขาดทุนสุทธิ 54.9 ล้านบาท และงวด 9 เดือนของปีนี้ก็ยังขาดทุนสุทธิ 112.5 ล้านบาท สาเหตุที่ขาดทุนต่อเนื่อง เพราะรายได้ที่ลดลงประมาณ 43.51% มาจากการชะลอการใช้งบโฆษณาของลูกค้าของบริษัทจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
ประการต่อมาบริษัทได้มีการตั้งสำรองการเสื่อมค่าของทรัพย์สินของบริษัทย่อย จำนวน 19.09 ล้านบาท และจากการปรับปรุงนโยบายการตั้งสำรองทางบัญชี จากเดิมตั้งสำรอง 100% สำหรับลูกหนี้อายุเกิน 12 เดือน มาเป็นตั้งสำรอง 100% สำหรับลูกหนี้เกิน 12 เดือน และตั้งสำรอง 50% สำหรับลูกหนี้อายุเกิน 6 เดือน
ทั้งนี้ผลประกอบการไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่มีผลประกอบการต่ำที่สุด และมีรายการพิเศษจากการตั้งสำรอง ดังนั้นจึงเชื่อว่าภายในไตรมาส 4 ผลประกอบการน่าจะดีกว่าไตรมาส 3 เพราะจะไม่มีการตั้งสำรองแล้ว ซึ่งในไตรมาส 1-3 ที่ผ่านมาบริษัทจะมีผลประกอบการที่ขาดทุนเฉลี่ยไตรมาสละประมาณ 20 ล้านบาท และในไตรมาส 4 นี้ได้เริ่มจัดโครงสร้างธุรกิจแล้ว น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้เชื่อว่าไตรมาสแรกของปี 2550 น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะจะมีรายได้จากธุรกิจใหม่เข้ามาช่วยอีกด้วย
"บริษัทมีผลประกอบการขาดทุนมาตั้งแต่ปีก่อน ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งนั้นคือความจริงที่ต้องยอมรับ แต่หลังจากที่บริษัทได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นและเปลี่ยนแนวทางการบริหารใหม่ และผมเข้ามาทำงาน ได้ตั้งเป้าหมายต้องการที่ฟื้นฟูธุรกิจของบริษัทให้เดินไปในทิศทางที่สามารถเติบโตได้และสร้างผลประกอบการที่ดีในระยะยาว" นายกิตติวัฒน์กล่าว
สำหรับการขาดทุนสะสมของบริษัทซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ในระดับ 100 ล้านบาทเศษ ซึ่งการขาดทุนสะสมนี้เกิดขึ้นมาตลอดในช่วงเกือบ 2 ปีนี้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีแผนที่ชัดเจนว่าจะล้างขาดทุนหมดเมื่อใด
ส่วนกรณีที่นายสุนทรเข้ามาถือหุ้นใหญ่นั้น นายกิตติวัฒน์ กล่าวว่า น่าจะเป็นการถือเพื่อการลงทุน โดยไม่ได้เข้ามายุ่งในแง่ของการบริหารงานแต่อย่างใด ส่วนจะถือหุ้นเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผลการดำเนิน ขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมคือตระกูลรุ่งธนเกียรตินั้นเชื่อว่าจะยังคงถือหุ้นต่อไป
|
|
|
|
|