ผ่านเทศกาลกินผักไปหมาดๆ ใครที่ยัง "อิน" กับการดูแลสุขภาพกายและใจด้วยการงดทานเนื้อสัตว์ แต่ยังหาแหล่งทานไม่ได้ วันนี้ "ผู้จัดการ" ขอแนะนำ
ร้านอาหารมังสวิรัติแนวบูติกที่ทำให้หลายคนต้องลบจินตภาพของอาหารมังสวิรัติที่จืดชืด ไร้สีสัน ขาดความอร่อยแบบเดิมๆ ออกจากความทรงจำ
บนถนนสุขุมวิทที่วุ่นวาย เข้าไปในซอย 20 ราว 300 เมตร บันไดหินนำขึ้นไปสู่ประตูบานสูงของตึกขาว ที่ดูเรียบง่ายสไตล์เซน นี่คือที่ตั้ง
ร้านอาหารชื่อ "Tamarind Cafe" หรือที่เหล่าศิลปินและผู้หลง ใหลศิลปะมักรู้จักกันในนาม "แกลอรี่ F-Stop"
ภายในร้านอาหารถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้บรรยากาศอบอุ่น ผสานกับกลิ่นอายแห่งความเป็นแฟชั่นด้วยโซฟาเบาะสีสันสดใส ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นบรรดาภาพถ่ายลำนำชีวิตจากประเทศงภูฏานหลายสิบภาพ ที่ประดับอยู่ตามพื้นที่ว่างบนผนังสีขาว ได้อารมณ์ความเป็นอาร์ตแกลเลอรี่ จึงทำให้ร้านอาหารแห่งนี้มีชีวิตและเรื่องเล่า ที่ไม่เหมือนใคร
Tamarind Cafe เป็นร้านอาหารมังสวิรัติที่ก่อตั้งโดยสองสาว 30 ยังแจ๋ว Luka Wong สาวไต้หวัน อดีตแฟชั่นดีไซเนอร์ ผู้ช่วยของ Yoshi Yamamoto ดีไซเนอร์ชื่อดังชาวญี่ปุ่น ที่ไม่มีสาวสังคมคนไหนไม่รู้จัก ขณะที่อีกสาวคือ Slyvie Bruzeau นางแบบชาวฝรั่งเศส ผู้หลงใหลคลั่งไคล้อาหารมังสวิรัติร่วม 8 ปี ซึ่งทั้งคู่รู้จักกันจากแคตวอล์กในปารีส
เฉกเช่นแฟชั่นดีไซเนอร์ของแบรนด์ระดับโลกคนอื่นๆ ไลฟ์สไตล์ของ Luka ก็คือเดินทางบ่อย และทำงานหนัก หลายครั้งที่เธอต้องทำงานจนดึกและฝากท้องกับอาหารกล่องไมโครเวฟในร้าน 7-11
"ครั้งหนึ่งขณะที่ทานอาหารกล่องที่ซื้อมาจากร้าน 7-11 ดิฉันเกิดความรู้สึกเหงา เศร้า เหนื่อยล้า และสับสนกับชีวิตว่า เงินทองมากมายที่หามาได้ มันจะมีความหมายอะไรกับวิถีชีวิตที่เป็นอยู่แบบนี้ หลังจากนั้น 2 ปี จึงตัดสินใจออกมาทำอะไรที่เป็นของตัวเอง และตั้งนาฬิกาชีวิตใหม่ เริ่มกินอาหารดีๆ ใช้ชีวิตดีๆ"
Luka ตัดสินใจเปิดร้านอาหารมังสวิรัติภายใต้ชื่อ "Tamarind Cafe" แห่งแรกที่กรุงฮานอย เมื่อปี 7 ปีก่อน ตามคำแนะนำของเพื่อนนักเขียน Lonely Planet ที่ให้ความเห็นว่า เวียดนามยังขาดร้านอาหารมังสวิรัติดีๆ ซึ่งตรงกับเทรนด์ที่ Luka เห็นในหัวเมืองใหญ่ทั่วโลกที่กระแสรักษาสุขภาพกำลังมาแรง
ทันทีที่คิดจะเปิดร้านอาหารมังสวิรัติ Luka ก็นึกถึง Slyvie เพราะนอกจากเธอจะเป็นผู้ทานมังสวิรัติตัวจริงเสียงจริง เธอยังเป็นกุ๊กมือหนึ่ง เจ้าของตำรับอาหารมังสวิรัติรสชาติดีหลายเมนู
หลังจากเปิดได้ไม่นาน Tamarind Cafe ที่ฮานอย ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากคนท้องถิ่น และนักท่องเที่ยว ชาวต่างประเทศ ทั้งนี้ ไม่เพียงอาหารมังสวิรัติหน้าตาเก๋ไก๋ และรสชาติอร่อย ร้านอาหารที่ตกแต่งสไตล์เทรนดี้สุดฮิพ บ่งบอกรสนิยมเจ้าของร้านผู้เป็นดีไซเนอร์ได้ดี
Tamarind Cafe ที่กรุงเทพฯ เปิดตัวเมื่อปี 2546 โดยการตกแต่งร้านเป็นสไตล์หรูหรา แต่อบอุ่น และผ่อนคลาย ด้วยโซฟาเบาะนั่งสบายประกอบกับเพดานสูงโปร่ง ตรงข้ามกับชั้น 2 ที่เพดานต่ำ แต่แฝงด้วยความสงบเงียบ ซึ่งถูกแบ่งเป็นโซนสำหรับนักธุรกิจมาพบปะพูดคุย หรือนั่งทำงาน เช็กเมลได้อย่างเป็นส่วนตัว โดยที่ร้านได้ติดตั้ง Wi-Fi ไว้ให้ลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย
ส่วนชั้นบนสุด ถูกจัดตกแต่งให้เป็นสวนส่วนตัว เหมาะแก่การมาปาร์ตี้เป็นกลุ่มก้อน ซึ่งพื้นที่นี้มักถูกจองเพื่อจัดงานปาร์ตี้ส่วนตัว ตกเดือนละ 3-4 ครั้ง ที่ผ่านมาก็มีทั้งงานค็อกเทล ปาร์ตี้เก๋ๆ ของบริษัทต่างชาติ หรือปาร์ตี้สุดฮิพของ MTV และ ล่าสุดก็เป็นปาร์ตี้งานแต่งของคู่รักต่างชาวยุโรป เป็นต้น
คอนเซ็ปต์ของร้านที่กรุงเทพฯ ไม่ต่างจากที่ฮานอย นั่น ก็คือการเป็น International Vegetarian Cuisine ที่ประยุกต์อาหารนานาชาติที่คุ้นหน้าคุ้นตา ทั้งพาสตา เปาะเปี๊ยะ ซูชิ และ สเต๊ก เป็นต้น มาปรุงเป็นอาหารมังสวิรัติหน้าตาดี รสชาติเยี่ยม
เมนูอาหารมังสวิรัติของที่นี่มีให้เลือกมากมาย หลากหลายสัญชาติ แต่สำหรับผู้ทานมังสวิรัติมือใหม่ Luka แนะนำให้เริ่มต้นจาก Summer Rolls หน้าตาพิมพ์เดียวกับเปาะเปี๊ยะเวียดนาม เป็นออเดิร์ฟที่อุดมด้วยคุณค่าจากผัก เป็นการปรับสมดุลให้กับท้อง
สำหรับเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ เห็นจะหนีไม่พ้น Mushroom Steak หรือก็คือสเต๊กเห็ด ราดด้วยซอสพริกไทย ถูกใจคนรักเห็ด และชาวมังสวิรัติมือใหม่ รสชาติกลมกล่อมของซอส และสัมผัส นุ่มลิ้นของเห็ด 3 ชนิดที่ผัดรวมกัน อาจทำให้หลายคนลืมสเต๊ก เนื้อสันไปได้เหมือนกัน
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายจานที่ไม่เพียงต้องอาศัยเทคนิคพิเศษการปรุงอาหารมังสวิรัติแต่ละจานแล้ว ยังต้องใช้พลังสร้าง สรรค์ในการออกแบบเมนูเหล่านั้นอีกด้วย เช่น Geneva Tofu ที่นำเอาเต้าหู้ไปทอดแล้วราดด้วยชีสสวิส เสิร์ฟพร้อมพาสตา ผักแซมด้วยใบโหระพาของไทย หรือ Towers of Babel ที่นำเต้าหู้ไปชุบแป้งทอดคู่กับผักผลไม้ต่างๆ แล้วราดด้วยซอสมะเขือเทศรสเผ็ด เป็นต้น
สำหรับเครื่องดื่ม ที่นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่เสิร์ฟอาหารมังสวิรัติ คู่กับค็อกเทล เบียร์ ไวน์ หรือแชมเปญ แต่คนที่อยากรักษาสุขภาพแบบครบวงจร ที่นี่ก็มีเมนูน้ำผลไม้คั้นสดให้เลือกมากมาย
ตบท้ายด้วยของหวานรสชาติกลมกล่อม เหมาะสำหรับคนรักและ ต้องการดูแลสุขภาพ แต่ก็ยังโบกมือลาเบเกอรี่ไม่ได้ ที่นี่มีเบเกอรี่ให้เลือก มากมาย โดยทุกเมนูจะปรุงพิเศษใช้ส่วนผสมแบบไขมันต่ำ และมีขนมปัง โฮลวีตเป็นส่วนประกอบสำคัญ
ขณะที่ Slyvie รับบทเป็นผู้คิดค้นเมนูและสูตรการปรุงอาหารมังสวิรัติ เพราะเธอย่อมเข้าใจดีว่าชาวมังสวิรัติจะต้องทานหรือต้องเลี่ยงอะไร Luka จะต้องสวมบทเป็น "แม่ช้อยนางรำ" จำเป็น ทำหน้าที่คอยชิมว่ารสชาติและหน้าตาอาหารเหล่านั้นจะถูกตา ถูกลิ้น และถูกใจ ลูกค้ามังสวิรัติครั้งคราว เช่นเขาหรือไม่
"ในเมืองไทย ตอนนี้มีเทรนด์รักษาสุขภาพ ทำให้หลายคนหันมาสนใจอาหารการกิน ลูกค้าที่นี่ส่วนมากไม่ใช่คนทานมังสวิรัติ แต่หลายคนเป็นคนที่ใส่ใจดูแลสุขภาพ หลายคนจะมาที่นี่อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อทานมังสวิรัติเป็นการล้างท้อง แต่ก็มีบ้างที่อยากมาลองดูว่า อาหารมังสวิรัติของร้านเรารสชาติดีจริงหรือเปล่า"
หลายครั้งที่ Slyvie สามารถเปลี่ยนลูกค้าขาจร ให้กลายเป็นลูกค้ามังสวิรัติขาประจำได้ด้วยเคล็ด (ไม่) ลับในการปรุงอาหารมังสวิรัติของเธอคือ รสชาติมาเป็นอันดับแรก และคุณภาพตามมาติดๆ เป็นอันดับสอง
ลูกค้าส่วนใหญ่ของ Tamarind Cafe กรุงเทพฯ เป็นชาวต่างชาติที่อาศัยหรือทำงานในเมืองไทยร่วม 80% บางส่วนเป็นนักท่องเที่ยวที่ได้ยินชื่อเสียงของร้านในคู่มือท่องเที่ยว หลายคนเป็นนักธุรกิจ ขณะที่ลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่จะเป็นเหล่านักร้อง นักแสดง และดารา ที่มักแวะเวียน มาเป็นแขกประจำของร้านนี้
หลังจากอิ่มท้องด้วยอาหารมังสวิรัติ ลูกค้ายังได้อิ่มใจ กับหาอาหารตากับภาพถ่ายที่ประดับ อยู่ทั่วร้านทั้งชั้น 1 และชั้น 2 หากใครสนใจภาพไหนก็สามารถเลือกซื้อได้ โดยผลงานภาพถ่ายเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงทุก 4-6 เดือน สลับกันทั้งช่างภาพชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยแกลเลอรี่ ที่นี่เปิดรับทั้งมือสมัครเล่น และมืออาชีพ ขอแค่คอนเซ็ปต์งานแสดงเป็นที่ถูกใจผู้จัดการแกลเลอรี่ของร้านก็พอ
จากจุดเริ่มต้นเพื่อดูแลสุขภาพของตัวเอง กลายเป็นความสนุกในการออกแบบสร้างสรรค์เมนูจานใหม่ และความชอบที่ได้เห็นลูกค้ารักษาสุขภาพด้วยการทานอาหารดีๆ วันนี้ Luka รู้แล้ว ว่าเส้นทางธุรกิจเพื่อสุขภาพของเธอยังมีอนาคตอีกไกล เมื่อมีลูกค้าบางรายเสนอขอซื้อแฟรนไชส์ไปเปิดในต่างประเทศ
ในอนาคตอันใกล้ Tamarind Cafe จะมีสาขาที่ 3 ที่ 4 ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ในประเทศไทย และเอเชีย เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายที่ทั้งคู่วางไว้ นั่นก็คือการเป็นร้านอาหารมังสวิรัติที่ดีที่สุดในเอเชีย และร้านอาหารมังสวิรัติที่ชาวมังสวิรัติทุกคนต้องนึกถึงและตามไปทาน