|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
บล.บีฟิทเตรียมเข้าซื้อขาย 22 พ.ย.นี้ ผู้บริหารมั่นใจราคาหุ้นยืนเหนือจองที่ระดับ 4.20 บาท เหตุธุรกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมชูราคาที่ตั้งไว้อยู่ในระดับต่ำ ด้านที่ปรึกษาฯหวังจะเป็นตัวจุดพลุให้หุ้นไอพีโอกลับมาคึกคักอีกครั้ง ขณะที่"เอเซียเมทัล"ตั้งช่วง ราคาเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไประดับ 2.70-3.30 บาท และกำหนดราคาใช้สิทธิวอรแรนต์
นายสุวิช รัตนยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) หรือ BSEC เปิดเผยว่า หุ้นของบริษัทจะเข้าซื้อขายใน ตลาดหลักทรัพย์ภายในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2549 โดยจะเข้าซื้อขายในหมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ ซึ่งจะใช้ชื่อย่อว่า BSEC แม้ว่าภาวะตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาจะซบเซาและมีหุ้นใหม่หลายบริษัทราคาปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าจอง แต่เชื่อมั่นในการเติบโตของธุรกิจ และราคาจองที่กำหนดไว้หุ้นละ 4.20 บาทถือว่าอยู่ในระดับต่ำและมีส่วนลดให้กับนักลงทุนที่จองซื้อ นอกจากนี้ต่อไปบริษัทก็จะมีรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจเข้ามาสนับสนุนอีกด้าน หลังจากที่นายวิเชียร เอื้อสงวนกุล และทีมงานได้ย้ายมาร่วมงาน
ทั้งนี้หุ้นบล.บีฟิท จะเปิดจองซื้อสำหรับการใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นบริษัทเงินทุน กรุงเทพธนาทร จำกัด(มหาชน)หรือ BFIT ซึ่งเป็นบริษัทแม่ระหว่างวันที่ 1-3,6-7 พฤศจิกายน และเปิดจองซื้อสำหรับประชาชนทั่วไประหว่างวันที่ 8-10 พฤศจิกายน 2549 โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนนั้นจะนำไปใช้ในการเปิดสาขาบริการค้าหลักทรัพย์เพิ่มอีก 3 แห่งภายในปีนี้ ซึ่งแต่ละสาขาจะต้องใช้เงินลงทุนแห่งละประมาณ 10 ล้านบาท,ใช้ในการพัฒนาคุณภาพของระบบงานและเทคโนโลยีสานสนเทศ เพื่อรองรับการขยายตัวและการแข่งขันในอนาคต ซึ่งจะใช้เงินประมาณ 20 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
"หุ้นที่เสนอขายคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เพราะเชื่อว่าช่วงปลายปีนี้ภาวะตลาดจะไม่มีปัจจัยลบ และมีแนวโน้มที่ดีประกอบกับปัจจัยการเมืองมีความชัดเจน การเดินหน้าโครงการต่างๆ ของภาครัฐจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว โดยได้คาดการณ์การเติบโตของจีดีพีปีหน้าไว้ที่ระดับ 5% และประเมินว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดจะอยู่ในระดับ 1.7-2 หมื่นล้านบาทต่อวัน จะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักทรัพย์"นายสุวิชกล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีมาร์เกตแชร์ประมาณ 3.63% และในไตรมาส 4 ปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมีมาร์เกตแชร์อยู่ในระดับ 4% ส่วนในปีหน้าบริษัทได้ตั้งเป้าว่าจะมีมาร์เกตแชร์ทั้งปีอยู่ในระดับ 4%
นายสันทัด สงวนดีกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัดในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินหุ้นบล.บีฟิทกล่าวว่า ราคา จองที่กำหนดไว้หุ้นละ 4.20 บาทนั้นถือว่ามีส่วนลดให้กับนักลงทุนประมาณ 25-26% ซึ่งถ้าพิจารณาจากบทวิจัยของโบรกเกอร์จะเห็นได้ว่าโบรกเกอร์จะประเมินราคาเป้าหมายอยู่ที่ 5.65 บาท ดังนั้นระดับราคาดังกล่าวจึงถือได้ว่ามีส่วนลดให้กับนักลงทุนเพื่อได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน
"หุ้นบล.บีฟิท ถือเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และการที่เข้าซื้อขายในช่วงนี้ซึ่งสถานการณ์การเมืองชัดเจนแล้ว ดอกเบี้ยก็เริ่มนิ่งแล้ว รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ดังนั้นหุ้นบล.บีฟิทอาจจะเป็นจองที่เข้ามาปลุกตลาดไอพีโอในช่วงสิ้นปีนี้ได้เช่นกัน"นายสันทัดกล่าว
นายชูศักดิ์ ยงวงศ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอเซียเมทัล จำกัด(มหาชน)หรือ AMC แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่าคณะกรรมการบริษัทจะนำขออนุมัติต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2549 ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2549 เรื่องการอนุมัติกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม และประชาชนทั่วไปในช่วงราคาเดียวกัน ซึ่งได้กำหนดช่วงราคาเบื้องต้นที่ 2.70-3.30 บาท และได้กำหนดราคาการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ระดับ 3 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นการใช้ราคาขายเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักย้อนหลัง 7 วันทำการตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2549 ถึง 26 ตุลาคม 2549
นายวิเชียร เอื้อสงวนกุล กรรมการผู้จัดการ สายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์บีฟิท จำกัด(มหาชน)ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินหุ้นบริษัทเอเซียเมทัลเปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ที่จะให้เสนอขายหุ้น ซึ่งถ้าได้รับความเห็นชอบแล้ว ก็เชื่อว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นได้ทันที
สำหรับธุรกิจวาณิชธนกิจของบล.บีฟิทในครึ่งปีแรกของปี 2550 นั้นมีแผนที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 3 บริษัทประกอบด้วยบริษัทที่ประกอบธุรกิจเหล็ก คือบริษัทไทยง้วนเมทัล ซึ่งคาดว่าจะระดมทุนประมาณ 300 ล้านบาท ส่วนอีก 2 บริษัทประกอบด้วยบริษัทที่ประกอบธุรกิจเอทานอล และเครื่องจักรกล
|
|
 |
|
|