ทายาทเค-เทค "โดมินิค เดอ เคโวเคียน" ปรับแนวธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง หันเข็มทิศ 3 ทำเลใหญ่ พุ่งเป้ารับเหมาก่อสร้างในพื้นที่กทม.-พัทยา-ภูเก็ต ระบุเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตทางการลงทุน ระบุโรงแรม-รีสอร์ทเป็นลูกค้าใหญ่ในพอร์ต 50% เล็งบิดงานโรงแรม 4-5 โปรเจกต์ ประกาศเมินรับงานก่อสร้างโครงการบ้านจัดสรร หลังไม่สอดรับกับรายได้และต้นทุน เดิมหน้าคุมต้นทุนดันกำไรสูงขึ้น
เพียงไม่ถึงทศวรรษ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของบริษัท เค-เทค คอนสตรัคชั่นฯได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่รับรู้กันในวงการถึงความเชี่ยวชาญและชำนาญในการเข้าไปรับงานก่อสร้างทั้งโครงการภาครัฐและเอกชน และต้องถือว่านายบ๊อบ เคโวเคีน อดีตประธานบริษัทฯเป็นวางรากฐานธุรกิจของบริษัทฯจนเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นมาทุกวัน ล่าสุดทายาทคนสำคัญ ได้เข้ามาสานต่อธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในไทยต่อ
นายโดมินิค เดอ เคโวเคียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค-เทคฯ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTECH เปิดเผยว่า ในการเข้าไปรับงานก่อสร้างโครงการต่างๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจ โดยตนจะพยายามไม่รับงานก่อสร้างโครงการจำนวนเยอะๆ แต่มูลค่างานจะมีวงเงินที่มาก เนื่องจากจะทำให้บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ แตกต่างจากอดีตที่บริษัทจะมีปริมาณงานค่อนข้างมากๆ กระจัดกระจายไปทั่วประเทศ เช่น การเข้าไปรับงานก่อสร้างในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นรับเหมาช่วงให้แก่ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย(เอดีบี) แต่บังเอิญในระยะนั้น เกิดวิกฤตเศรษฐกิจมีผลค่อนข้างมากต่อบริษัท ปัญหาต่างๆบริษัทต้องรับไปแก้ไขให้ลุล่วง
"นับจากนั้น บริษัทโฟกัสธุรกิจให้ชัดเจน โดยกำหนดจะมาเน้นงานภาคเอกชนเป็นหลัก เพราะบางครั้งการที่มีงานกระจัดกระจายไปทั่วไม่ค่อยดี รวมถึงการจะเข้าไปประมูลงานภาครัฐ บริษัทก็ต้องหาพันธมิตรที่เป็นคนไทยหรือเคยมีประสบการในการเข้าไปรับงาน เนื่องจากในบางครั้งก็รู้สึกไม่ดี เสนอราคาที่ต่ำไปก็ยังไม่ได้งาน แต่งานภาครัฐบางอย่าง บริษัทคงหลีกเลี่ยงไม่เข้าไป เช่น งานส่วนต่อขยายทางด่วน เพราะมีเจ้าเดิมที่มีภาษีมากกว่าบริษัท "นายโดมินิค กล่าว
โดยจากไปนี้ โครงสร้างของการเข้าไปรับงานของบริษัทฯ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพของการลงทุนของภาคเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะให้น้ำหนักกับ 3 พื้นที่หลักๆ คือ พื้นที่ในกรุงเทพฯ ,จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดข้างเคียง และจังหวัดชลบุรี เนื่องจากทั้ง 3 ทำเล บริษัทมีความชำนาญและมีแรงงานที่จะสามารถเข้าไปดำเนินการได้ ทั้งนี้ จะพบว่า งานในกรุงเทพฯจะมีสัดส่วนสูงถึง 50% ของมูลค่างาน ,ภูเก็ต ประมาณ 30-35% และ พัทยา 15-20% และในระยะยาวแล้ว มูลค่างานเฉลี่ยในแต่ละโครงการจะสูงต่อเนื่อง โดยปี 2548 มูลค่างานเฉลี่ยอยู่ที่ 250 ล้านบาท ปี 2549 เฉลี่ย 350 ล้านบาทและปี 2550 เฉลี่ย 450 ล้านบาท หรือมูลค่างานเฉลี่ยเติบโตประมาณ 10% ต่อปี
"การที่โฟกัส 3 จังหวัด เนื่องจากมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยมาตามลำดับ และที่สำคัญตนมองเห็นว่า โครงการก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพฯทำเลเริ่มเต็ม ขณะที่ค่าที่ดินแพงตามการเจริญเติบโต ทำให้การลงทุนของนักลงทุนมีข้อจำกัด แต่เริ่มเห็นการเคลื่อนไปลงทุนในต่างจังหวัดมากขึ้น ที่เห็นชัดๆ แม้แต่การซื้อขายที่ดินสถานฑูตอังกฤษ ตกต่อไร่ประมาณ 400 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นที่ดินติดทะเลในพัทยาตกต่อไร่ประมาณ 12-13 ล้านบาท อีกทั้งจังหวัดเหล่านี้ นักท่องเที่ยวนิยมมากพักผ่อน โดยเฉพาะที่จังหวัดภูเก็ต ที่มีโครงการที่พักตากอากาศ รีสอร์ทหรู เกิดขึ้นตามลำดับ "กรรมการผู้จัดการกล่าวถึงแหล่งที่มีโอกาสจะเข้าไปชิงงานรับเหมาก่อสร้างได้
เน้นประมูลสร้างโรงแรม-รีสอร์ท
นายโดมินิค กล่าวว่าโครงการที่บริษัทจะเข้าไปเสนอราคานั้น ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทโครงการโรงแรมและรีสอร์ท ปัจจุบันมีสัดส่วนของมูลค่างานถึง 50% และมีแผนที่จะเข้าไปประมูลอีก 4-5 โครงการ บางโครงการจะมีมูลค่างานประมาณ 250 ล้านบาท บางโครงการจะขนาดใหญ่มูลค่างานประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะลงทุนที่จ.ภูเก็ตและพัทยา แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ตนคาดว่าภายในสิ้นปี 49 จะรู้ผลความชัดเจนประมาณ 2 โครงการหรืออาจเพิ่มขึ้นกว่าที่วางไว้ ส่วนอีก 3 โครงการคงต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ เนื่องจากมีบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เป็นคู่แข่งเสนอราคาเข้ามาชิงประมาณ 3-5 บริษัท ดังนั้น ประเภทของโครงการที่บริษัทจะมุ่งเน้นเข้าไปประมูลแยกเป็น โครงการโรงแรมและรีสอร์ท,โรงงานอุตสาหกรรม ,อาคารสำนักงาน ,โครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียมจะที่มีแนวโน้มยอดขายได้ดี หรือมีโลเกชั่นติดถนน และห้างสรรพสินค้า
"โครงการแนวราบหรือบ้านจัดสรร ขณะนี้มีเพียงแค่โครงการบ้าน ศรีนครินทร์ ของบริษัท โกเด้น แลนด์ จำกัด (มหาชน) เนื่องจากโดยธรรมชาติของโครงการบ้านจัดสรร จะขายก่อนและค่อยดำเนินการก่อสร้าง ทำทีละหลัง แต่เมื่อได้งานแล้ว เรื่องของราคาวัดสุก่อสร้างจะเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เป็นปัญหาที่รับรู้อยู่แล้ว ต่างกับโครงการขนาดใหญ่ ที่ทุกอย่างจะดำเนินการทั้งหมด ไม่ว่าแรงงาน วัสดุก่อสร้าง คุมได้ง่ายกว่า"กรรมการผู้จัดการกล่าว
คุมต้นทุนหวังดันกำไรเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวทางส่งเสริมให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นนั้น นายโดมินิคกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือ การคุมต้นทุนให้ลดลงแต่ยังยืนคุณภาพของงานให้แก่ลูกค้า โดยหากสามารถลดต้นทุนลงได้ 4% จะทำให้โครงการที่เข้าไปรับงานมีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 4% เช่นกัน ซึ่งวิธีการคือจ่ายเงินให้แก่ซัปพลายเออร์ให้เร็วขึ้น เพื่อต่อรองทางด้านราคาและการส่งมอบสินค้าที่รวดเร็วขึ้น
ในส่วนงานในมือของบริษัท ณ เดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีมูลค่างานเกือบ 6,000 ล้านบาท และได้รับงานโครงการใหม่อีกหลายโครงการ เช่น โครงการโซเนวา คีรี รีสอร์ท (เกาะกูด) ,ตรีสรา เฟสซี (ภูเก็ต) และเดอะรีเจ้นท์ แบงคอก โฮเต็ล แอนด์ เดอะ รีเจ้นท์ เรสซิเด้นท์ (งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล) (กรุงเทพฯ) ขณะที่บริษัทมีโครงการที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องไปถึงปี 2551 (2008) ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2549 บริษัทจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 10%
"ปี 2550 เป็นก้าวใหม่ของบริษัท และเป็นปีที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้น ทั้งบุคลากร เครื่องจักร และกำไรที่ดีขึ้น "
อนึ่ง บริษัทได้แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า กำไรสุทธิของบริษัทฯงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ จำนวนเงิน 8.711 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวด 6 เดือนแรกของปี 48 จำนวนเงิน 25.649 ล้านบาท ลดลงประมาณ 42.814 ล้านบาท หรือ 30.46% ขณะที่บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายทั่วไปและค่าใช้จ่ายการบริหารได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 49 ลดลงเป็นจำนวนเงิน 15.318 ล้านบาท หรือลดลง 15.99% เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนแรกของปี 48
|