|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"ชาตรี โสภณพนิช" คาดทิศทางบาทแข็งค่าต่อเนื่อง มองปัจจัยการเมืองนิ่ง-ทุนสำรองประเทศสูงดึงเม็ดเงินต่างชาติลงทุน มั่นใจปีหน้ายิ่งขยายตัว แนะรัฐบาลฉวยจังหวะเงินไหลเข้าแปลงเงินเก็งกำไรเป็นระยะยาว เสนอสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันภายใต้กติกาเดียวกัน ส่วนเมกะโปรเจ็กต์ต้องขยายบนพื้นฐานไม่เป็นหนี้เกินตัว ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
นายชาตรี โสภณพนิช ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงค่าเงินบาททำสถิติแข็งค่าสูงสุดในรอบ 7 ปี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เกิดจากเงินต่างประเทศที่ถูกถอนออกไปช่วงมีการปฏิวัติรัฐประหารได้ไหลกลับเข้ามา หลังจากนักลงทุนต่างชาติมั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความชัดเจนค่อนข้างเร็ว ดังนั้น เชื่อว่าในปีหน้าจะมีการลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มระยะยาวค่าเงินบาทต่อดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นจากปัจจัยเศรษฐกิจของประเทศที่มีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศในปัจจุบันที่สูงถึง 60,800 ล้านเหรียญสหรัฐ สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ยังเกิดจากค่าเงินดอลาร์ที่อ่อนค่าตามเศรษฐกิจสหรัฐ
"ค่าเงินที่แข็งขึ้นอย่างรวดเร็วมาแตะ 36 บาทต่อดอลลาร์ในขณะนี้ เพราะต่างชาติเกิดความมั่นใจเมืองไทย เมื่อเราเปิดให้เข้ามาฟรี ต่างชาติจึงนำเงินเข้ามาลงทุนเยอะ เพราะถ้าดอลลาร์อ่อนค่าเงินบาทแข็งก็มีกำไรทันที"
นายชาตรีแนะนำว่า รัฐบาลต้องบริหารจัดการเรื่องทุนระหว่างประเทศ เมื่อมีเงินต่างชาติไหลเข้ามาจำนวนมากและเป็นเงินระยะสั้นในตลาดหุ้น ซึ่งจะมีการโยกย้ายออกไปค่อนข้างเร็ว รัฐบาลต้องหาวิธีดึงเงินที่เข้ามาลงทุนระยะสั้นให้ปรับเปลี่ยนเป็นเงินลงทุนระยะยาว ป้องกันการเก็งกำไร ที่สำคัญนอกจากการสร้างบรรยากาศการลงทุนแล้ว รัฐบาลชุดใหม่ควรสร้างกติกาการค้าการลงทุนที่เท่าเทียมกันในหมู่นักลงทุน
"ทุกคนต้องทำธุรกิจภายใต้กติกาเดียวกัน" นายชาตรีย้ำ
นายชาตรียังกล่าวเปรียบเทียบทุนสำรองของไทยว่าแข็งแกร่งเหมือประเทศจีน ดังนั้นแนวโน้มเงินทุนต่างชาติก็จะไหลเข้าประเทศจีน เพียงแต่จีนมีระบบจัดการแตกต่างจากไทย แม้ความต้องการเงินต่างชาติจะอยากเข้าไปมาก แต่ทางการจีนก็ออกกฎห้ามนำเงินเข้ามาลงทุน จึงมีข้อจำกัดและยังทำได้ยากเพราะรัฐบาลไม่อนุญาต ทั้งนี้ ความแตกต่างทางฐานะและจำนวนประชากรยังเป็นปัจจัยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันพบว่า คนจีนที่มีฐานะดีจะอยู่ในเมืองใหญ่ ส่วนในชนบทห่างไกลฐานะจะยากจนกว่า
"การเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวนของจีน ปัจจัยหลักจึงเป็นไปตามนโยบายและสถานการณ์การเมือง ถ้ารัฐบาลจีนทำให้ค่าเงินหยวนแข็งขึ้นตามที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปต้องการก็จะส่งผลกระทบต่อคนในชนบททันที ปัญหาก็จะตามมา ดังนั้นสิ่งที่จีนทำได้คือการต่อรองเพื่อแลกเปลี่ยน เช่น ล่าสุดได้สั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ 320 จากยุโรป 150 ลำ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับอียู"
สานต่อโครงการใหญ่แบบพอเพียง
สำหรับเมกะโปรเจ็กต์ นายชาตรีกล่าวว่า รัฐบาลต้องพิจารณาโครงการของรัฐบาลชุดเดิม หากเป็นโครงการที่ดีรัฐบาลชุดนี้ต้องสารต่อ เช่น โครงการก่อสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ควรยึดประโยชน์ส่วนรวมและความเป็นไปได้ในความสำเร็จ เช่น กำหนดเดิมต้องสร้างให้เสร็จภายใน 1 ปี หากเห็นทำให้เสร็จได้ภายใน 2-3 ปีได้ ไม่ต้องรีบมากแต่ประโยชน์มีมากกว่า ก็รอได้ เพราะเงินงบประมาณแต่ละปีไม่พอที่จะไปสร้างโครงการขนาดใหญ่รัฐบาลต้องไปกู้เงินมาก่อสร้างดังนั้นสิ่งที่ต้องคำนึงต้องไม่สร้างหนี้เกินตัว เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจแบบพอเพียง
"พอเพียงหมายถึงไม่เกินตัว ไม่มีหนี้มากเกิน ผมคิดแบบนี้ แต่ยอมรับว่ายากที่จะอธิบายให้ต่างชาติ ส่วนใหญ่กับฝรั่งผมบอกว่าคล้ายๆ กับ self sufficient คือ พึ่งพาตนเองได้"
เตรียมรุกตลาดเอเชียอีกครั้ง
นายชาตรีกล่าวถึงแผนการดำเนินงานของธนาคารกรุงเทพในอนาคตว่า มีแผนขยายธุรกิจในเอเชียโดยเฉพาะธุรกิจในจีน ฮ่องกง ไต้หวันและสิงคโปร์ หลังจากช่วง 6-7 ปี ที่ผ่านมาธนาคารได้หยุดขยายธุรกิจในเอเชียเพราะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศ จึงต้องกลับมาทำธุรกิจในไทยให้รอดก่อน ตอนนี้แข็งแรงแล้ว ก็พร้อมที่จะขยายธุรกิจต่อไป
"ผมยอมรับว่าตั้งแต่ทำธุรกิจธนาคารพาณิชย์มา เหนื่อยทุกปี แต่เราก็พร้อมที่จะรับกับการแข่งขันที่รุนแรง" นายชาตรีกล่าวและว่า สำหรับแผนในประเทศ ณ ขณะนี้จะขยายสินเชื่อให้กับอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) และธุรกิจรายย่อยมากขึ้น
|
|
|
|
|