|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"ประยุทธ มหากิจศิริ" เตรียมทิ้ง "ไทยน็อคซ์ สเตนเลส" ออกทั้งหมด โดยมีนักลงทุนต่างประเทศ 3 รายสนใจเข้าเจรจา แต่ยังไม่มีข้อสรุปเหตุไม่สามารถตกลงราคากันได้ เหตุ "ประยุทธ" ต้องการขายในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดมาก โบรกเกอร์ชี้ถ้าเจรจาสำเร็จจะเป็นดีลขายกิจการที่ใหญ่สุดของปีนี้ มูลค่ารวมประมาณ 7-8 พันล้านบาท
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์เปิดเผยว่า ขณะนี้นายประยุทธ มหากิจศิริ ประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ไทยน็อคซ์ สเตเลส จำกัด(มหาชน)หรือ INOX ซึ่งถือเป็นบริษัทที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสเตเลสที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยนั้น มีแผนที่จะขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมาทั้งหมด โดยพร้อมที่จะเจรจากับผู้ที่สนใจเข้ามาซื้อ ซึ่งปรากฏว่ามีนักลงทุนต่างประเทศซึ่งเป็นผู้ประกอบการเกี่ยวกับเหล็กและอุตสาหกรรมสเตเลส จำนวน 3 รายที่แสดงความสนใจจะเข้ามาซื้อหุ้นทั้งหมด
อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากมีกระแสข่าวว่านายประยุทธต้องการที่จะขายหุ้นในระดับราคาที่สูงกวาราคาในตลาดหลักทรัพย์เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงยังไม่สามารถตกลงกันได้
"ถ้าประยุทธสามารถตกลงกับนักลงทุนต่างประเทศรายหนึ่งรายใดได้ภายในปีนี้ เชื่อว่าดีลขายหุ้นไทยน็อคซ์จะเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดของปีนี้ได้เช่นกัน เพราะเชื่อว่ามูลค่าการซื้อขายจะอยู่ประมาณ 7-8 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมกับที่นักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งจะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และจะต้องทำคำเสนอซื้อหรือเทนเดอร์ออฟเฟอร์จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือก.ล.ต. ซึ่งถ้านำเงินที่จะต้องนำเงินที่ต้องใช้เทนเดอร์ออฟเฟอร์ด้วย ไปรวมด้วยเชื่อวาจะอยู่ในระดับ 1 หมื่นล้านบาทได้เช่นกัน"แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้สาเหตุที่กลุ่มนายประยุทธจะขายหุ้นบริษัทไทยน็อคซ์ สเตเลส เชื่อว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมานายประยุทธจึงได้นำเงินไปลงทุนเพื่อขยายงานในบริษัทไทยน็อคซ์เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงอาจจะไม่ต้องการที่จะนำเงินไปลงทุนเพื่อให้เป็นภาระอีกแล้ว จึงตัดสินใจที่จะขายหุ้นออกมาทั้งหมด
นอกจากนี้การที่บริษัทไทยน็อคซ์ สเตเลสเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องหาพันธมิตรต่างประเทศเข้ามาร่วมทุน หรือไม่ก็ขายหุ้นเพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาบริหารแทน เพราะนักลงทุนต่างประเทศ ถือเป็นกลุ่มทุนที่มีเงินลงทุนจำนวนมาก สามารถนำเงินไปขยายกิจการเพื่อที่จะแข่งขันในตลาดโลกได้
ทั้งนี้ โครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทไทยน็อคซ์ สเตเลส จำกัด(มหาชน) ณ วันที่ 7 เมษายน 2549 ปรากฏว่ากลุ่มนายประยุทธ ถือหุ้นเป็นจำนวนมาก โดยถือทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งประกอบด้วยบริษัท เลควูด แลนด์ จำกัดถือหุ้น 2,349.78 ล้านหุ้นหรือ 29.37% เป็นอันดับ 1 นอกจากนี้ก็มีนายประยุทธ มหากิจศิริ ถือหุ้น 1,936.20 ล้านหุ้นหรือ 24.20%,นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ถือหุ้น 429 ล้านหุ้นหรือ 5.36% บริษัท เลควูด แลนด์ จำกัด ถือหุ้น 200 ล้านหุ้น หรือ 2.50%,นางสาวอุษณีย์ มหากิจศิริ ถือหุ้น 183.26 ล้านหุ้นหรือ 2.29%,บริษัทเลควูดคันทรี่คลับ จำกัดถือหุ้น 116.58 ล้านหุ้นหรือ 1.46%
อนึ่งในช่วงที่บริษัทไทยน็อคซ์ สเตเลสกระจายหุ้นเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปหรือ IPO ในปี 2547 นั้นปรากฏว่าบริษัทได้ลดจำนวนหุ้นที่เสนอขาย ในส่วนของหุ้นสามัญเดิม ของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมหรือกลุ่มของนายประยุทธ เนื่องจากไม่พอใจกับราคาไอพีโอ ที่บล.ทิสโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหรือลีดอันเดอร์ไรเตอร์ซึ่งกำหนดราคาที่หุ้นละ 2.10 บาท เพราะทางกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมนั้นต้องการที่จะเสนอขายในราคาหุ้นละ 2.50 บาท ดังนั้นสัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มนายประยุทธจึงยังถือว่าอยู่ในระดับที่มากอยู่
จากการสอบถามไปยังนายประยุทธ มหากิจศิริ ประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยน็อคซ์ สเตเลส จำกัด(มหาชน)ปรากฏว่าได้รับคำตอบว่ายังไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์ เนื่องจากอยู่ระหว่างการประชุมสำหรับราคาหุ้นบริษัทไทยน็อคซ์ สเตเลสวานนี้(26 ต.ค.)ปิดที่ระดับ
|
|
|
|
|