บริษัทมั่นคงเคหะการฯลั่นไตรมาส 2 รับรู้รายได้ตามเป้าไม่ต่ำกว่า 450 ล้านบาท หลังมียอดรอบันทึกรายได้ต่อเนื่องถึงสิ้นปี คาดรายได้รวมทั้งปีได้ตามแผนที่วางไว้ 2,371 ล้านบาท เดินหน้าคุมต้นทุน ดันอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 40%
แหล่งข่าวระดับสูงจาก บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 3 ของปีนี้ว่า ยังอยู่ในอัตราที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากยอดขายในมือ(Backlog) ที่จะมาบันทึกรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจาก 4 โครงการ ทั้งในส่วนของโครงการชวนชื่น วัชรพล ,ชวนชื่น ศรีนครินทร์,ชวนชื่น รีเจนท์ และชวนชื่น ปิ่นเกล้า-วงแหวน โดยประเมินว่ารายได้ในไตรมาส 3 จะไม่ต่ำกว่า 450 ล้านบาท เพราะมีโครงการหลายแห่งรับรู้รายได้ อนึ่ง ตามข้อมูลในตลาดหลักทรัพย์ฯระบุว่า ในไตรมาส 2 บริษัทมีการรับรู้รายได้จากการขายและบริการ 383.07 ล้านบาท (ไตรมาส 2 ปี 48 รับรู้รายได้จากการขายและบริการ 601.98 ล้านบาท) สาเหตุมาจากที่รับรู้รายได้ไตรมาส 2 ลดลง เป็นผลมาจาก บริษัทใช้กลยุทธ์บ้านสั่งสร้าง ทำให้ยอดการส่งมอบต้องใช้เวลาประมาณ 6-10 เดือน ซึ่งนับตั้งแต่ไตรมาส 3 เลยไป ตัวเลขผลประกอบการจะออกมาดีกว่า 2 ไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 บริษัทมียอดจองรอรับรู้รายได้ถึง 1,200 ล้านบาท กำไรเบื้องต้นทั้งสองไตรมาส 40.78%
" แนวโน้มรายได้ทั้งปี 2549 คาดว่าจะไม่ต่ำกว่าปีก่อนหน้าที่มีรายได้อยู่ที่ 2,371.62 ล้านบาท เนื่องจากมียอดขายทยอยรับรู้ต่อเนื่อง ทั้งจากโครงการที่เปิดในปีก่อนหน้าและทยอยเปิดในปีนี้ โดยวางเป้ายอดขาย (Presale) ปีนี้ อยู่ที่ 2,200 ล้านบาท แม้ปัจจุบันมียอดขายเพียง 1,400 ล้านบาท แต่มั่นใจว่าไตรมาส 4/2549 จะมียอดขายเพิ่มเด่นชัด จนดันให้ยอดขายรวมช่วงสิ้นปีเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ปี 2550 คาดยอดขายโตต่ออีก 20 -30% จากปีนี้ เนื่องจากมีโครงการเปิดใหม่อีกหลายโครงการ ขณะเดียวกัน ได้เตรียมงบลงทุนซื้อที่ดินประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อรองรับแผนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นที่ดินใจกลางเมือง หรือปริมณฑลก็ได้ แต่จะเน้นเลือกทำเลที่มีศักยภาพดีและมีโอกาสเติบโตสูง"แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ แหล่งกล่าวว่า หากอัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันมีการปรับลดลง ย่อมส่งผลดีต่อบริษัทฯและรวมถึงบริษัทเอกชนรายอื่นๆ เนื่องจากกระตุ้นให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้นจากกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับคืนมา
" ตลาดอสังหาฯยังโตมาก โดยเฉพาะบ้านระดับกลางและล่าง ที่ความต้องการยังสูง โดยบริษัทฯเรามีสินค้าเป็นที่อยู่อาศัยระดับ 3 - 5 ล้านบาทถือว่าค่อนข้างได้รับการตอบรับดี และยิ่งดอกเบี้ย รวมถึงน้ำมันลงก็ยิ่งดีหนุนยอดขายเพิ่มขึ้น" แหล่งข่าวระดับสูง กล่าว
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทฯมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.7 เท่า โดยทั้งปีมีจะพยายามรักษา D/E ไม่ให้เกิน 1 เท่า แม้จะมีแผนลงทุนเพิ่มเติมในโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆก็ตาม พยายามควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้อยู่ในระดับเหมาะสม ทั้งด้านการรับเหมาก่อสร้าง และบุคคลากร เพื่อรักษากำไรขั้นต้น (Margin) ทั้งปีไม่ต่ำกว่า 40% ทรงตัวจากปีก่อนแม้ไม่มีการปรับขึ้นราคาขายที่อยู่อาศัยในโครงการที่เตรียมเปิดใหม่ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ก็ตาม
สำหรับเรื่องจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นงวดปี 2549 จะพยายามจ่ายให้ได้ต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ แต่จะจ่ายในอัตราเท่าใดคงไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากต้องรอดูผลประกอบการสิ้นปีอย่างเป็นทางการก่อน
|