สำหรับผู้ที่รู้ภาษาจีนบ้างเล็กน้อย การหาความเพลิดเพลินบันเทิงใจจากวิธีการเรียนภาษาจีนแบบคาราโอเกะเป็นเรื่องน่าสนใจ
สถานที่สอนร้องคาราโอเกะไม่ใช่ไปร้องตามภัตตาคาร เช่นแกแล็คซี่ ภัตตาคารซึ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนฮ่องกงและไต้หวันนิยมมาเที่ยว
แต่โรงเรียนสอนภาษาจีนที่ใช้คาราโอเกะเป็นสื่อการสอนนั้นอยู่ที่โคลีเซี่ยมหลังสหธนาคาร
ชื่อ "ชลาลัยคาราโอเค"
ผู้ริเริ่มโรงเรียนคาราโอเกะภาษาจีนนี้เมื่อ 8 ปีที่แล้วคือ "อาจารย์เค.ซี.หว่อง"
หรือ "เขียน อ. วรกุลชัย" เจ้าของวงดนตรี 'ชลาลัย' มืออาชีพในวงการบันเทิง
ซึ่งรู้จักมักคุ้นกับเสกสรรค์ ภู่ประดิษฐ์แห่งรายการโลกดนตรีมานานนับ 15
ปี
"ผมอยู่ในวงการบันเทิงมานาน สมัยก่อนเล่นดนตรีตามภัตตาคารเช่นยิ้มยิ้มภัตตาคารที่เทียนกัวเทียน
เยาวราช และกินรีนาวาที่สวนลุมพินี แฮปปี้แลนด์ พอตอนหลังอายุเรามาก วงคอมโบก็เลิกไป
เพราะยุคนี้มีดีเจ. เปิดแผ่นดิ้นกัน มันคนละยุค ผมก็มาจับงานแสดงสินค้าโฮมโชว์
ตั้งบริษัทบอมซ์เอ็กซิบิชั่นส์ (ไทยแลนด์) พอมีเวลาว่างวันอาทิตย์ก็ไปออกกำลังกายและหิ้วออร์แกนตัวเล็กๆ
ไปสอนร้องเพลงที่เกาะลอยด้วย ทำอยู่จนกระทั่งมีคนติด ผมจึงหาสถานที่สอนเป็นเรื่องเป็นราว"
สำเนียงพูดไทยชัดคำของอาจารย์หว่องเป็นไปอย่างอารมณ์ดี
จากจุดเริ่มต้นของกลุ่มคนเรียนหลังจากออกกำลังกายที่เกาะลอยสวนลุมพินี
จำนวนแรกเริ่ม 20 คน อาจารย์หว่องได้ยืมบ้านเพื่อนที่สวนหลวงสอนร้องเพลงโดยมีเครื่องดนตรีหลักในระยะแรกเป็นเปียโนไฟฟ้าสอนกันเป็นที่สนุกสนาน
ต่อมาเมื่อคาราโอเกะเข้ามามีบทบาทในวงการบันเทิง อาจารย์หว่องผู้ก้าวทันโลก
ได้ปรับกลยุทธ์การสอนโดยวิธีสมัยใหม่ ลงทุนเครื่องไม้เครื่องมือครบเครื่อง
มีโทรทัศน์สีขนาด 33 นิ้ว คาราโอเกะชุดใหญ่พร้อมแผ่นดิสก์ จำนวน 80 แผ่น
ไมโครโฟนสี่ตัว คีย์บอร์ดสองตัว เปียโนไฟฟ้าหนึ่งตัว เทปอัดเสียง และแผ่นดิสก์คอมพิวเตอร์ในเครื่องโรแลนด์
ซึ่งบรรจุทำนองเพลงทั้งไทย สากล จีนนับร้อยแผ่น
ตรงนี้เป็นการผสมผสานระหว่างการตลาดกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ลงตัว โดยพัฒนาวิธีการสอนจากเดิมที่สอนร้องเพลงจีนกันตามสมาคมต่างๆ
เช่นสมาคมกวางตุ้ง สมาคมแต้จิ๋ว สมาคมฮัคคา (สมาคมจีนแคะแถวเยาวราช)
"ที่นี่เป็นโรงเรียนแห่งเดียวที่ใช้ระบบคาราโอเกะเพียบพร้อมที่สุด
ที่อื่นจะไม่มี เพราะต้นทุนสูงมากเป็นล้านบาท เช่น คาราโอเกะของผมจะใช้แต่แผ่นดิสก์เพลงจีนซึ่งราคาแพงมาก
แผ่นหนึ่งตกประมาณ 1,500-3,000 บาท แต่ให้ภาพ และเสียงคุณภาพคมชัดดีมากๆ"
อาจารย์หว่องเล่าให้ฟังถึงการลงทุนอุปกรณ์เครื่องมือ นอกเหนือจากค่าจ้างเงินเดือนครูคนละ
4,000 บาท/เดือน
ด้วยเหตุนี้ ที่นี่จึงประสบความสำเร็จด้านการตลาดโดยอาศัยปากต่อปากเป็นช่องทางโฆษณา
ทำให้จำนวนคนเรียนเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีจนกระทั่งปัจจุบันมีถึง 350 คน สอนทุกวันๆ
ละสามชั่วโมง วันจันทร์ถึงพฤหัสเริ่มเรียนตั้งแต่ 9.30-12.30 น. วันศุกร์
19.00-22.00 น. ส่วนวันเสาร์อาทิตย์สอนตั้งแต่ 12.30-17.00 น. ค่าเล่าเรียนคนละ
400 บาทต่อเดือน และค่าอุปกรณ์ประกอบการเรียนอีก 250 บาท ได้แก่ หนังสือเพลงพร้อมโน้ต
เทปเพลงจีนสามตลับซึ่งบรรจุเพลงรวมทั้งสิ้น 48 เพลง เรียนกันได้ตลอดทั้งปี
โดยมีอาจารย์หนุ่มที่มีชื่อเสียง คือ ฉาง ซิง หัว และอาจารย์ จี้ สอนสลับกันไป
"ส่วนใหญ่คนเรียนจะเป็นเถ้าแก่เนี้ยและแม่บ้าน บางคนมาจากตรอกจันทร์
ฝั่งธนฯ นนทบุรีก็มี ในชั้นเรียนวันเสาร์ซึ่งผมสอนตั้งแต่เที่ยงถึงห้าโมงเย็น
มีลูกศิษย์ผมคนหนึ่งนั่งรถไฟสามชั่วโมงจากนครสวรรค์เพื่อมาเรียนที่นี่ทุกอาทิตย์
พอบ่ายสี่ก็รีบกลับไป เขาบอกว่าเขาชอบและมีความสุขจริงๆ แม้จะต้องเดินทางวันเดียวหกชั่วโมงก็ตาม"
อาจารย์หว่องเล่าให้ฟัง
นับว่าเป็นความชาญฉลาดที่เจ้าของโรงเรียน มุ่งเน้นเจาะเฉพาะกลุ่มตลาดสตรีสูงอายุซึ่งมีความต้องการพักผ่อนร้องเพลงจีน
มีสังคมใกล้เคียงกันและมีอำนาจซื้อ อันเป็นตลาดการศึกษาที่คนอื่นมองข้ามไป
บรรยากาศภายในห้องเรียน ในชั่วโมงแรก "เหล่าซือ" จะสอนให้อ่านตัวโน้ตเพลง
โด-เร-มี…จากนั้นเมื่อรู้จักท่วงทำนองจังหวะของดนตรีแล้ว ต่อมาในชั่วโมงที่สอง
"เหล่าซือ" จะใส่เนื้อร้อง โดยอธิบายความหมายคำแปลแต่ละตัวอักษรที่เรียงร้อยถ้อยคำ
จากนั้นในชั่วโมงที่สามผู้เรียนก็จะหัดเปล่งเสียงและเนื้อร้องให้ถูกจังหวะดนตรี
ซึ่งคาราโอเกะจะฉายภาพพร้อมเสียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งสามารถต่อเพลงใหม่ได้
พออาทิตย์หน้าเมื่อมาเรียน แต่ละคนจะต้องออกมาร้องเพลงได้ โดยมี "เหล่าซือ"
คอยแก้ไขภาษาและลีลาเพลงให้ดีขึ้น
"พอเขาร้องเสร็จ เราจะบันทึกเสียงร้องของนักเรียนลงในเทปให้เขากลับไปฟังที่บ้านว่า
วันนี้เขาร้องเพลงผิดพลาดตรงไหน เสียงทีบันทึกจะไม่มีคลื่นรบกวน เพราะเราใช้มิกซ์เซอร์อย่างดี
บางคนอยากให้เราอัดเสียงเขาลงในเทปวิดีโอคาราโอเกะ เราก็ทำให้ได้ นักเรียนจะเอาไปอวดที่บ้านหรือให้เป็นของขวัญญาติมิตรก็มี"
อาจารย์หว่องเล่าให้ฟังถึงเทคนิคที่ประทับใจศิษย์
มาลินี เวศอุรัย สุภาพสตรีวัย 50 ต้นๆ เพิ่งจะเข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ได้เพียงหกเดือน
ความรู้ด้านภาษาจีนของเธอเป็นไปแบบงูๆ ปลาๆ แม้จะเป็นลูกจีนเต็มร้อยเปอร์เซนต์ก็ตาม
พื้นฐานการศึกษาเธอเรียนเภสัชกร ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัท แอคคอนซึ่งผลิตยา
"ดิฉันชอบร้องเพลง เดิมก็เรียนจากสมาคมแต่พอตอนหลังได้รู้จักที่นี่จากเพื่อน
ก็มาสมัครเรียน ได้รับความรู้ด้านภาษาดีขึ้นเยอะ เพราะ 'เหล่าซือ' จะสอนเรามากยิ่งใช้คาราโอเกะยิ่งทำให้เราสามารถจำคำและความหมายได้มาก
พอเห็นก็จำได้เลย ไม่เหมือนร้องหรือท่องจำจากหนังสืออย่างเดียวที่ไม่น่าสนใจ
อีกอย่างคือการสอนแบบใหม่นี้ทำให้เรามั่นใจและกล้าแสดงออก เวลามีงานปาร์ตี้
พวกเราก็ออกไปร้องเพลงจีนได้อย่างมั่นใจ" มาลินีเล่าให้ฟัง
ความเพลิดเพลินบันเทิงใจที่มาพร้อมกับสาระแห่งภาษาจีนนี้ได้กลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้โรงเรียนชลาลัยคาราโอเคมาถึงจุดขยายตัว
แต่อาจารย์หว่องกล่าวว่า เขามีขีดจำกัดที่จะรับนักเรียนมากกว่า 300 กว่าคนไม่ได้อีกแล้ว
"ผมจะไม่ขยาย เพราะผมไม่ไหววิ่งหลายห้อง นักเรียนติดผมและในชั้นเรียนหนึ่งถ้าสอนโดยวิธีร้องคาราโอเกะไม่ควรจะเกินห้องละ
20 คน ซึ่งต้องใช้เวลาร้องทีละคนตั้งสองชั่วโมงกว่า ถ้าเรารับมากเราอาจจะได้รับเงินมากขึ้น
แต่ไม่ดีสำหรับคนเรียน เราจะไม่มีโอกาสสอนเพลงได้ทั่วถึง ดังนั้นถ้าหากใครจะสมัครเข้ามาเรียนต้องรอให้คนเก่าออกก่อน"
นี่คือขีดจำกัดของที่นี่ตามคำบอกเล่าของอาจารย์หว่อง
ทุกวันนี้ สมาชิกเกาะลอยจากสวนลุมพินียังคงเกาะกลุ่มเรียนกันอยู่ที่นี่ถึง
8 ปี โรงเรียนคาราโอเกะแห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งกิจกรรม ที่พวกเขาได้มาขับร้องลำนำเพลงจีนกันอย่างสำราญใจ
แต่ในเชิงธุรกิจ ตลาดโรงเรียนคาราโอเกะสอนภาษาจีนในบ้านเรายังมีโอกาสพัฒนาตลาดความต้องการและกลยุทธ์การเรียนการสอน
ตำราเรียนสมัยใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง จึงเป็นตลาดการศึกษาที่น่าจับตาต่อไป !!