|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"เสนาฯ" ลดความเสี่ยง เปลี่ยนแผนปรับพอร์ตลงทุนใหม่ 60 %พัฒนาเอง 30% ร่วมทุน 10% พัฒนาเพื่อปล่อยเช่าระยะยาว จากเดิมพัฒนาขาย100% เล็งขึ้นโครงการคอนโดฯแนวรถไฟฟ้าใต้ดิน เจาะกลุ่มลูกค้ากลาง-ล่าง พร้อมรับกระแสนิยมของผู้บริโภค ระบุอนาคตอสังหาฯ หน้าใหม่เกิดยาก เหตุความเสี่ยงสูง กำไรน้อย และกฎหมายที่รัดกุม
นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับแผนการลงทุนใหม่ โดยหันมาปรับพอร์ตการลงทุนจากเดิมที่เน้นการลงทุนพัฒนาโครงการ 100% มาแบ่งส่วนการลงทุนโดย 60% เป็นการทุนพัฒนาโครงการเอง 30% เป็นการลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับพันธมิตร และอีก10% เป็นการลงทุนธุรกิจปล่อยเช่าระยะยาว เพื่อช่วยให้การลงทุนของบริษัทมีความเข้มแข็งมากขึ้น และรองรับแนวทางที่บริษัทจะเดินหน้าเข้าระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในระยะเวลาภายใน 2 ปีนี้ โดยบริษัทเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขัน และเพิ่มแรงจูงใจจากธนาคารพาณิชย์ที่ปัจจุบันมุ่งให้บริการเงินกู้ซื้อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยเน้นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้ บริษัทจะมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนใหม่บ้าง ทำให้ต้องมีการปรับนโยบายในการพัฒนาโครงการของกลุ่มเสนาฯ ในบางส่วนคือ เดิมพัฒนาโครงการ 4 แบรนด์ ประกอบด้วย แบรนด์ เสนาแกรนด์โฮม บ้านเดี่ยวราคาตั้งแต่ 1-3.5 ล้านบาท ,แบรนด์เสนาแกรนด์วิลล่า บ้านแฝดระดับราคาตั้งแต่ 1.5-3 ล้านบาท ,แบรนด์เสนาวิลล่า ทาวน์เฮาส์ ระดับราคาตั้งแต่ 1-2 ล้านบาทเศษ และแบรนด์ "บ้านร่วมทางฝัน" เป็นโครงการเพื่อคืนกำไรกลับสังคมแล้ว ในส่วนที่จะมีการเพิ่มเข้ามาใหม่คือโครงการประเภทอาคารสูง
โดยบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าใต้ดินที่เปิดใช้แล้ว โดยโครงการใหม่คาดว่าจะเป็นโครงการในตลาดระดับกลาง-ล่าง ราคาไม่เกิน2 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในตลาดดังกล่าวที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากการปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดปรับตัวลดลง และทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมระดับกลาง-ล่าง ในแนวรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วยลดระยะเวลาในการเดินทาง ค่าใช้จ่าย รวมถึงความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึงแหล่งงานด้วย
"ที่ผ่านมา บริษัททำโครงการแนวราบมาโดยตลอด เช่นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์ แต่ขณะนี้กำลังเตรียมจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งอยู่ใกล้แนวเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งเป็นความนิยมของผู้ซื้อด้วย คาดว่าอีกไม่นานคงจะมีความชัดเจนมากขึ้น " นางสาวเกษรากล่าว
นางสาวเกษรากล่าวยอมรับว่า ตั้งแต่ต้นปี49 เป็นต้นมา ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบพอสมควร เพราะมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามากระทบมากมาย อาทิ ปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างเนื่อง ปัญหาทางการเมืองที่ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของต่างประเทศและผู้บริโภคในประเทศไทย ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เชื่อมั่นว่าสิ้นปีนี้สถานการณ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่คงไม่เห็นผลชัดเจนเพราะยังเป็นช่วงเวลาสั้น แต่ต้นปีน 2550 ถึงกลางปีจะเริ่มเห็นการกลับมาของกำลังซื้อที่อยู่อาศัย แต่เชื่อว่าที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะยังได้รับความสนใจจากผู้บริโภค ส่วนที่ราคาแพงกว่านี้ตลาดอาจฝืดไปบ้าง
" ส่วนตัวแล้วเชื่อว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่ธุรกิจที่ใครต่อใครจะเข้าจับเสือมือเปล่าได้อีก และไม่ใช่ธุรกิจที่จับอะไรเป็นเงินเป็นทองเหมือนในยุคอดีตแล้ว กลายเป็นธุรกิจที่มีกำไรไม่มาก และอาจเสี่ยงขาดทุนหากไม่มีความเป็นมืออาชีพพอ โดยเฉพาะกฎหมายใหม่ที่ออกมานั้นนักพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ หน้าใหม่คงแจ้งเกิดยากหากไม่มีมืออาชีพพอ โดยเฉพาะปัจจุบันราคาวัสดุปรับขึ้น นักพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ แข่งขันกันมาก แต่เชื่อว่าพื้นที่ตั้งของโครงการจะมีส่วนสำคัญมากในการตัดสินซื้อและการตัดสินใจลงทุน "นางสาวเกษรา
สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทฯมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 300 ล้านบาท โดยมียอดขาย 450 ล้านบาท เหตุผลที่บริษัทเสนาฯมียอดรับรู้รายได้ไม่สูงมากเพราะลูกค้าที่ซื้อบ้านติดปัญหาสถาบันการเงินไม่ปล่อยเงินกู้ให้ ส่งผลให้ยอดรับรู้รายได้ของกลุ่มเสนาฯลดลง และคาดว่าในครึ่งหลังของปี 2549 กลุ่มเสนาฯ จะมียอดรับรู้รายได้อีก 700 ล้านบาท รวมรายได้ทั้งปีจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่เติบโตขึ้นกว่าปี 2548 เป็นจำนวน 50%
|
|
|
|
|