เผยไตรมาส 3 กำไร 2 แบงก์ใหญ่เป็นไปตามคาด "กรุงเทพ" กำไรลด 4,233 ล้าน เหตุมีรายการพิเศษในการตีมูลค่าสินทรัพย์ แต่กำไรจากการดำเนินงานยังเพิ่ม ด้าน "กรุงไทย" ปลื้มกำไรโต 9.95% แม้จะต้องเสียภาษีเต็มจำนวน และกันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสูงกว่าปีก่อน ระบุธนาคารมีระบบการบริหารจัดการที่ดีขึ้น มีการบริหารความเสี่ยง และรายได้ดอกเบี้ย-ค่าธรรมเนียมเพิ่ม ด้าน "กรุงศรีฯ" ไม่น้อยหน้าโชว์กำไรเพิ่ม 16% เหตุรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเพิ่ม มั่นใจไตรมาส 4 รักษาอัตราเติบโตได้
รายงานข่าวจากธนาคารกรุงเทพประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 สิ้นสุด ณ วันที่30 กันยายน 2549 มีกําไรสุทธิ 4,233 ล้านบาท ลดลงจาก 4,391 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายรายการพิเศษจากการที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย จํากัด (บสท.) ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงการให้ราคาหลักประกัน
อย่างไรก็ตามผลการดําเนินงานโดยรวมของธนาคารปรับตัวดีขึ้นโดยมีรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น โดยในไตรมาสนี้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1,306 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.9% เป็น 20,136 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1,034 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.5% ซึ่งส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 272 ล้านบาท เป็น10,802 ล้านบาท และส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวสูงขึ้นจาก 2.94% ในไตรมาสก่อนหน้าเป็น 2.97%
ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 6.7% จาก 3,528 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 เป็น 3,766 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ ส่วนกําไรจากการปริวรรตเงินตราอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัวที่ 934 ล้านบาท ดังนั้น รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจึงเพิ่มขึ้น 5.6% เป็น 5,705 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ค่าใช่จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงเกือบทุกรายการ แต่ธนาคารมีรายจ่ายพิเศษ 2,761 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย จํากัด (บสท.) ได้เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ในการรับรู้มูลค่าของหลักประกันประเภทเครื่องจักรซึ่งส่งผลให้สินทรัพย์ที่ธนาคารโอนให้บสท. มีมูลค่าลดลง
สำหรับสินเชื่อของธนาคาร ณ สิ้นกันยายน 2549 เพิ่มขึ้น 4.8% จากสิ้นปี 2548 เป็น 955,703 ล้านบาท โดยขยายตัวทั้งธุรกิจในประเทศและต่างประเทศส่วนเงินฝากมีจํานวน 1,217,863 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% และสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากคิดเป็น 78.5% เทียบกับ 78.9%
ขณะที่นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (KTB) เปิดเผยว่า ผลประกอบการธนาคารเฉพาะไตรมาส 3 ว่าธนาคารมีกำไรก่อนหักภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 6,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน 309 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.02% และมีกำไรสุทธิ 5,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน 459 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9.95% สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2549 ธนาคารมีกำไรก่อนหักภาษีเงินได้นิติบุคคล 18,559 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน 3,566 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23.78% และมีกำไรสุทธิ 13,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน 1,413 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.55%
ทั้งนี้ ในปีนี้ธนาคารสามารถทำกำไรได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้และสูงกว่าระยะเดียวกันของปีก่อนได้ทุกไตรมาส และเพียง 9 เดือน ธนาคารสามารถทำกำไรสูงกว่ากำไรทั้งปีของปี 2548 ทั้งๆ ที่ในปีนี้ ธนาคารได้กันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสูงกว่าระยะเดียวกันของปีก่อน 1,983 ล้านบาท และชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลเต็มตามอัตราปกติจำนวน 4,909 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าระยะเดียวกันของปีที่แล้ว 2,153 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นเพราะธนาคารมีระบบการบริหารจัดการที่ดีขึ้น มีการบริหารความเสี่ยง อีกทั้งมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและค่าธรรมเนียมรับเพิ่มขึ้น
อนึ่ง ในงวด 9 เดือน ธนาคารมียอดสินเชื่อ 913,482 ล้านบาท มียอดเงินฝาก 985,546 ล้านบาท มีรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลจำนวน 49,926 ล้านบาท มียอด NPL 99,311 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10.33 ของสินเชื่อรวม ธนาคารได้กันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 4,698 ล้านบาท โดยธนาคารได้กันสำรองปกติเดือนละ 300 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และยังได้กันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มอีกในไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 อีกไตรมาสละ 1,000 ล้านบาท เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างความมั่นคงของธนาคารและผลตอบแทนสำหรับผู้ถือหุ้น
ด้านนายพงศ์พินิต เดชะคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) กล่าวว่า ผลประกอบการของธนาคารประจำไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2549 ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ และภาษีเงินได้ จำนวน 3,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ 3 ธนาคารได้ตั้งสำรองฯ เพิ่มอีก 750 ล้านบาท และเมื่อหักภาษีเงินได้ 524 ล้านบาท ธนาคารจึงมีกำไรสุทธิจำนวน 1,866 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
สำหรับไตรมาสนี้ มีสาเหตุหลักจากรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิปรับตัวสูงขึ้น 11% และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 45% โดยรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2549 ธนาคารมีกำไรก่อนหักสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ และภาษีเงินได้ จำนวน 8,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากงวดเดียวกันของปีก่อนโดยในงวด 9 เดือน ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 2,250 ล้านบาท และเมื่อหักภาษีเงินได้ 524 ล้านบาท ธนาคารจึงมีกำไรสุทธิในงวด 9 เดือน จำนวน 5,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 16%
ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีสินทรัพย์รวม 668,300 ล้านบาท เงินให้สินเชื่อ (หลังหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญแล้ว) 426,900 ล้านบาท เงินฝาก 580,100 ล้าน บาท และมีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศ จำนวน 530 สาขา โดยมีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มอีกประมาณ 18 สาขา ในปีนี้
นางชาลอต โทณวณิก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่า ในไตรมาส 4/49 ธนาคารก็เชื่อว่าจะรักษาอัตราการเติบโตของรายได้ให้โตต่อเนื่อง จากไตรมาส 3/49 ซึ่งในไตรมาส 3/49 โดยสาเหตุที่ธนาคารมั่นใจว่าจะรักษาการเติบโตได้ ก็มาจากราคาน้ำมันที่เริ่มทรงตัว อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้น และปัจจัยการเมืองที่นิ่ง ก็จะให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและความมั่นใจของนักลงทุน
"ในไตรมาส 4 ธนาคารก็เชื่อว่าผลประกอบการหรือรายได้ที่จะทำได้ ก็ไม่น่าจะต่ำกว่าไตรมาส 3 เพราะปัจจัยลบไม่มี" นางชาลอต กล่าว
|