|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
กองทุนไทยสนใจหุ้นชินคอร์ป แต่ต้องรอดูราคาเสนอขาย "มาริษ" ระบุหากเทมาเส็กยังต้องการลงทุนในชินคอร์ป ต้องขายหุ้นให้นักลงทุนไทยถึงจะไม่ติดปัญหาเรื่องการถือหุ้นของต่างด้าว ระบุธุรกิจมือถือไม่อยู่ในช่วงที่เติบโตโดดเด่นเท่าอดีต ประกอบกับยังต้องมีการลงทุนเกี่ยวกับ 3G อีกมาก คาดหากเดือนม.ค.ปีหน้าสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้กระตุ้น GDP โตเพิ่ม 0.50% โบรกฯระบุยังประเมินราคา SHIN ไม่ได้
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กล่าวว่า จากแถลงการณ์ของกลุ่มเทมาเส็ก โฮลดิ้ง จำกัด เกี่ยวกับนโยบายการลงทุนในบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือSHIN ที่ยังต้องการคงสัดส่วนการถือครองหุ้นในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งหากพิจารณาตามพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้นักลงทุนที่จะเข้ามาซื้อหุ้นจากการลดสัดส่วนการถือครองของเทมาเส็กจะต้องเป็นกลุ่มนักลงทุนไทย เพื่อให้สัดส่วนการถือหุ้นเป็นไปตามสัดส่วนที่ถูกต้อง
ทั้งนี้ในแง่ของการลงทุนคงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักในเรื่องราคาที่จะเสนอขาย โดยการกำหนดราคาจะต้องมีการพิจารณาถึงสัดส่วนและตอบแทนที่บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นถือครองอยู่ในบริษัทลูกประกอบด้วย อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาทางด้านธุรกิจ ปัจจุบันธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ถือว่าไม่ได้มีการเติบโตโดดเด่นเท่าอดีตที่ผ่านมาเนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับหากจะพิจารณาในเรื่องการลงทุนของผู้ประกอบการเกี่ยวกับเครือข่าว 3G ถือว่าการลงทุนในเรื่องดังกล่าวยังต้องใช้เงินลงทุนในธุรกิจอีกค่อนข้างมาก
"การกำหนดราคาเป็นสิ่งที่จะบอกได้ถึงความน่าสนใจ เราในฐานะกองทุนไม่ปิดกั้นในการเข้าไปลงทุนในบริษัทที่มีผลการดำเนินการที่ดีรวมถึงบริษัทที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคต"นายมาริษกล่าว
นายมาริษ กล่าวอีกว่า เรื่องช่องว่างระหว่างพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของนักลงทุนต่างด้าว ที่ระบุถึงสัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจต่างๆ กับพระราชบัญญัติกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (พ.ร.บ.หลักทรัพย์) เกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) หลังการถือครองหุ้นเกินกว่า 25% ของจดทะเบียน เนื่องจากการทำเทนเอร์ออฟเฟอร์ซื้อหุ้นทั้งหมดอาจจะทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนที่สนใจจะเข้าไปลงทุนในบริษัทจดทะเบียนใดบริษัทหนึ่งมีสัดส่วนการถือครองหุ้นเกินกว่าสัดส่วนที่ต้องการ
ทั้งนี้ ในเรื่องดังกล่าวแม้ว่าจะยังคงมีช่องว่างของการเข้ามาลงทุน แต่ในเรื่องนี้นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนต้องทำความเข้าใจกับพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับให้ชัดเจนเพื่อหาทางออกในเรื่องดังกล่าว
นายกสมาคมบลจ. กล่าวอีกว่าภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันภายหลังสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น สิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งดำเนินการคือการเร่งสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจในเศรษฐกิจไทยให้นักลงทุนเอกชนในประเทศมากขึ้น ก่อนที่จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติต่อไป
ทั้งนี้ สิ่งที่น่าจะกระตุ้นความเชื่อมั่นใจของเศรษฐกิจได้คืออัตราการเติบโตของ GDP คือ การพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 50 ซึ่งหากสามารถเบิกจ่ายได้ทันเดือนมกราคมปีหน้าน่าจะส่งผลต่อการเติบโตของ GDP ประเทศให้เติบโตขึ้นได้ประมาณ 0.50% เนื่องจากจะมีรายจ่ายจากภาครัฐออกมาค่อนข้างมากซึ่งถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ
"ช่วงที่เรายังไม่มีรัฐบาลการเติบโตของเศรษฐกิจก็ยังสามารถเติบโตได้ถึง 4% หากเราเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนการความพร้อมที่จะลงทุนก็จะกลับมา เพราะหากเอกชนมีการลงทุนเพื่อสร้างอะไรก็ตามกว่าสิ่งที่ดำเนินการจะย้อนกลับเข้ามาเศรษฐกิจก็ต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน"นายมาริษกล่าว
การลงทุนในตลาดหุ้นของกองทุนบริษัทที่ผ่านมาผลตอบแทนในช่วงที่เกิดปัญหาทางด้านการเมือง ผลตอบแทนที่ได้รับยังถือว่าสูงกว่าผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ โดยในช่วงระยะสั้นหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน ท่องเที่ยว และวัสดุก่อสร้างถือว่าเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนมากที่สุด เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเดินหน้าสานต่องานโครงสร้างพื้นฐาน
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า บลจ.วรรณ มีความสนใจเข้าไปซื้อหุ้น SHIN แต่การตัดสินในเรื่องดังกล่าวคงต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการของบริษัทด้วย
**KBANKเมินลงทุนหุ้นชิน
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือKBANK กล่าวถึง กรณีเทมาเส็กที่เข้ามาถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นว่า จะเป็นกรณีศึกษาสำหรับการลงทุนกับต่างประเทศที่จะต้องพิจารณาว่าควรจะมีการลงทุนแบบไหน ซึ่งเชื่อว่ากรณีอย่างเทมาเส็กจะไม่สิ่งที่นักลงทุนต่างประเทศทุกคนจะทำได้ เพราะเป็นการลงทุนก้อนใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนต่างประเทศจะมีการลงทุนเป็นระยะสั้นและเป็นการลงทุนผ่านกองทุน ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนของเทมาเส็ก อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามว่าจะมีข้อสรุปอย่างไร เพราะขณะนี้ยังไม่ถือว่าจบ
"การลงทุนของเทมาเส็กต่อไปจะเป็นกรณีศึกษาที่ทุนต่างชาติจะต้องนำไปคิด แต่ไม่ใช่ทุกคนจะลงทุนแบบที่เทมาเส็กมาลงทุนได้" นายบัณฑูร กล่าว
ส่วนกระแสข่าวลือว่าธนาคารได้รับการติดต่อให้เข้าไปลงทุนในหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นนั้น นายบัณฑูรกล่าวว่า ธนาคารมีนโยบายไม่ลงทุนในหุ้น เพราะฉะนั้นการลงทุนใน SHIN จึงไม่ใช่นโยบายของธนาคาร
**ราคาSHINยังประเมินไม่ได้
นางสาวศรยา ณ สงขลา นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย )จำกัด (มหาชน)หรือ KEST กล่าวว่า บริษัทแนะนำขายหุ้นSHIN เนื่องจากราคาหุ้นในขณะนี้ได้มีการปรับตัวสูงขึ้นจากราคาเหมาะสมที่บริษัทประเมินไว้ที่ 34.10 บาท ซึ่งหากนักลงทุนที่จะเข้ามาเก็งกำไรจากกระแสข่าวที่ออกมาแต่ควรระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากราคาในปัจจุบันเต็มมูลค่าแล้ว ส่วนแนวโน้มราคาหุ้น SHIN นั้นยังไม่สามารถประเมินได้เพราะต้องรอความชัดเจนในเรื่องการเสนอขายหุ้นของ เทมาเส็กจะดำเนินการด้วยวิธีใด
นางสาวธริศา ชัยสุนทรโยธิน ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่าการที่ราคาหุ้น SHIN ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจ เพราะมีความชัดเจนมากขึ้นจากการที่เทมาเส็กจะมีการลดสัดส่วนในการถือหุ้นลง ซึ่งขณะนี้ก็มีผู้ออกมาแสดงความจำนงที่จะมีการซื้อหุ้นหลายราย โดยส่วนตัวเชื่อว่าราคาที่จะเสนอขายออกมานั้นจะสูงกว่าราคาในกระดานในปัจจุบัน เพราะหากขายในราคาที่ต่ำกว่าในกระดานกลุ่มเทมาเสกอาจจะไม่ขายซึ่งขณะนี้ก็มีผลขาดทุนมากพอแล้ว
ทั้งนี้ ราคาเสนอขายคาดว่าจะไม่เท่ากับราคาที่เทมาเสกเสนอซื้อที่ 49.25 บาทต่อหุ้น เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ซึ่งเป็นผู้สร้างรายได้หลักของบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นมีแนวโน้มรายได้ที่ปรับตัวลดลงจากการแข่งขันที่สูงและจำนวนผู้ใช้บริการลดลง
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัดกล่าวว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่ากลุ่มที่จะเข้ามาซื้อหุ้นต่อจากเทมาเส็กน่าจะเป็นกลุ่มที่มีความผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเทมาเส็ก เพราะจะสามารถที่จะดูและในเรื่องนโยบายการดำเนินงานได้
ซึ่งราคาเสนอขายคาดว่าจะไม่น่าต่ำกว่าราคาเทรนเดอร์มากนัก
สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นSHIN อยู่บริษัทแนะนำให้ถือต่อไป แต่หากสนใจที่จะเข้าลงทุน บริษัทแนะให้เข้าไปลงทุนในหุ้นADVANC แทน เนื่องจากขณะนี้ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่บริษัทประเมินที่ 95.86 บาทต่อหุ้น
|
|
|
|
|