20 ปีก่อน สมัยที่ เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำจีนรุ่นที่สองตัดสินใจปฏิรูปจีนให้ก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศที่ทันสมัย
โดยการนำระบบเศรษฐกิจแบบเปิดเสรีเข้ามาผสมผสานกับระบอบการปกครองระบบสังคมนิยม
ความคิดของเติ้งก็คือการปรับแนวคิด ทุบทฤษฎีดั้งเดิมของสังคมนิยมและมาร์กซ์
แนวเหมาเจ๋อตง
ว่ากันว่า การปรับดังกล่าวก็คือการที่ "เติ้ง" แทนที่จะคงแนวคิดให้คนจีนทั้งหมดก้าวไปสู่สังคมอันอุดมสมบูรณ์พร้อมกัน กลับอนุโลมเปิดประตูยอมให้คนจีนบางกลุ่มเดินไปสู่ความมั่งคั่งก่อน เพราะเติ้งมองแล้วว่าหากไม่ทำเช่นนี้จีนก็ไม่มีวันที่จะตามทันประเทศอื่นๆ ในโลกได้อย่างแน่นอน
จนในปี ค.ศ.1992 เติ้งได้ย้ำถึงแนวคิดดังกล่าวอีกครั้ง ด้วยคำพูดที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์และปัจจุบันก็ถูกนำมาพูดถึงหลายครั้งว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่ปรับความคิดของชนชั้นปกครองชาวจีน รวมถึงเจียงเจ๋อหมิน ก็คือ "อย่าไปสนใจว่าแมวสีอะไร ถ้าจับหนูได้ ก็ใช้ได้ทั้งนั้น!"
ไม่มีใครปฏิเสธว่า "เติ้ง" เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญในแนวคิด และเป็นนักเรียนที่หาญกล้าแหกคอกความคิดของ เหมาเจ๋อตง บิดาของจีนใหม่ได้อย่างมีวิสัยทัศน์
เป็นวิสัยทัศน์ที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของ "โลกานุวัตร" (Globalization)
ที่ในอีกเกือบยี่สิบปีต่อมาแสดงอานุภาพครอบคลุมไปทั่วทุกแดนดินได้อย่างน่าตกใจ
ยิ่งในการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 16 ที่เพิ่งผ่านไปในปีนี้ นับได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ก้าวมาไกลเกินกว่าอุดมการณ์แรกเริ่มมากมายนัก โดย อ.เกษม ศิริสัมพันธ์ ก็กล่าวเปรียบเทียบถึงเรื่องดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจก็คือ แก่นอุดมการณ์ได้แปรเปลี่ยนจากสังคมนิยมเป็นสังคมทุนนิยมเสียแล้ว! (จีน : สังคม (ทุน) นิยม โดย เกษม ศิริสัมพันธ์ ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน 2545)
นอกจากการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 16 คราวนี้ได้มีการลงมติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเคยมีข้อความเดิมที่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์เป็นกองหน้า (Vanguard) ของชนชั้นกรรมกรมาเป็นกองหน้าของชนชาวจีนและประชาชาติจีนแล้ว เจียงเจ๋อหมิน ผู้นำรุ่นที่สาม ที่กำลังอยู่ในช่วงของการถ่ายโอนอำนาจไปให้ผู้นำรุ่นที่สี่ ยังนำเสนอต่อที่ประชุมพรรคเป็นครั้งแรกอีกด้วยว่า
"จีนจำเป็นที่จะต้องเพิ่มจำนวนชนชั้นกลางในประเทศให้มากขึ้น"
จุดนี้นี่เองที่นับเป็นกุญแจที่ระบุว่า ในระยะสั้นจีนต้องการสร้างชนชั้นกลางมาเป็นฐานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจให้เดินไปข้างหน้าแบบก้าวกระโดดและระยะยาว จีนกำลังปรับตัวเข้าสู่การเป็นประเทศประชาธิปไตย
ชนชั้นกลาง ถ้าเปรียบแล้วก็คือสัญลักษณ์ของการประนีประนอม และเป็นกันชนทางชนชั้น
เพราะหากย้อนไปแล้วประวัติศาสตร์แนวคิดเรื่องชนชั้นกลางนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนพระเยซูจะประสูติเสียอีก
อริสโตเติล ปราชญ์สมัยกรีก เคยกล่าวไว้ว่า "ชนชั้นกลางที่อ่อนแอคือ จุดกำเนิดของภาวะทางการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ" เพราะหากไม่มีชนชั้นกลางคนในชาติก็จะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือ "รวยและจน" อริสโตเติล กล่าวว่า ด้วยชนชั้นกลางที่เข้มแข็งประชาธิปไตยก็จะแผ่ขยายไปโดยปริยาย ด้วยชนชั้นกลางเป็นผู้ที่นิยมชมชอบการประนีประนอมและแสวงหาหนทางแก้ปัญหาด้วยวิธีสันติ
สิ่งดังกล่าว ในโลกยุคปัจจุบันก็มีผู้ได้พิสูจน์มาแล้วว่าเป็นจริง และผู้นำจีนเองก็ถือมาเป็นตัวอย่างก็คือ สิงคโปร์
มีการพูดถึงว่า ลีกวนยู อดีตผู้นำสิงคโปร์ตอนที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี ค.ศ.1959 เศรษฐกิจของเกาะเล็กๆ ที่อยู่ใต้มาเลเซียนั้นก็ขาดเสถียรภาพอย่างรุนแรง หลังขึ้นสู่ตำแหน่ง อดีตผู้นำสิงคโปร์จึงใช้แนวคิดชนชั้นกลางดังกล่าวผลักดันให้ปัจจุบันสิงคโปร์มั่งคั่ง และกลายเป็นประเทศหนึ่งที่ปัจจุบันมีความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุดในโลก
แน่นอนว่า เกาะเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ เมื่อนำมาเทียบ กับ "จีน" ประเทศขนาดยักษ์ที่ใหญ่กว่าสิงคโปร์นับพันๆ เท่าแล้ว กระบวนการดังกล่าวจึงไม่อาจสำเร็จได้ง่ายๆ และต้องการจุดเปลี่ยนผ่านอีกมากมาย เป็นระยะเปลี่ยนผ่านที่จะต้องดำรงต่อไปอีกนับสิบปี
จีนยังคงเป็นสังคมของเกษตรกร-ชาวนา ด้วยเหตุที่ว่าประชากรส่วนใหญ่กว่า
64 เปอร์เซ็นต์ยังอยู่ในชนบท ประกอบสัมมาชีพทางด้านการเกษตร ซึ่งแน่นอนว่า
ได้รับการจัดชั้นว่าอยู่ในกลุ่มของ "ชนชั้นล่าง" ก็คือ "คนจน" นั่นเอง ส่วนประชากรที่อยู่ในเมืองนั้นใน 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ประกอบด้วยชนชั้นแรงงานรายได้ต่ำ คือมีรายได้น้อยกว่า
200 หยวนต่อเดือน (24 ดอลลาร์สหรัฐ) เสีย 45 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ชนชั้นกลางก็มีเพียง
20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่อยู่ในเมือง
ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในยุคปัจจุบันกระบวนการสร้างชนชั้นกลางยังอยู่ในระยะตั้งไข่เท่านั้น และเพียงแค่ในระยะนี้สภาพความแตกต่างทางชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมจีนก็เริ่มเข้าสู่ขั้นวิกฤตเสียแล้ว
ในปี 2001 แม้ตัวเลขของทางการจีนจะระบุว่า ความแตกต่างของรายได้ระหว่างคนเมืองและคนชนบทจะอยู่ที่ 2.9 เท่า คือคนเมืองมีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยปีละ 6,859.60 หยวน (828.70 ดอลลาร์สหรัฐ) และคนชนบทมีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยปีละ 2,366.40 หยวน (285.90 ดอลลาร์สหรัฐ)
แต่ในความเป็นจริงนั้น นักเศรษฐศาสตร์จีนก็ประเมินกันว่า ตัวเลขดังกล่าวน่าจะอยู่ที่ราว 6 เท่า เนื่องจากปัจจุบันคนเมืองได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การแพทย์ สาธารณูปโภค ขณะที่คนชนบทได้รับบริการจากภาครัฐน้อยมากหรือไม่ได้เลย
ขณะที่หากอ้างถึงดัชนีการกระจายทางรายได้ หรือดัชนีจีนี่ (Gini coefficient)* ซึ่งเป็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่มีไว้ชี้ถึงช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจีน สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนก็ระบุว่า ตัวเลขนี้เริ่มส่งสัญญาณอันตราย เนื่องจากปัจจุบันอยู่ที่ 0.458 เมื่อเทียบกับมาตรฐานโลกแล้วควรอยู่ไม่เกิน 0.4
กระบวนการสร้างชนชั้นกลางของชาวจีน เพื่อรับโลกานุวัตรอีกจุดเปลี่ยนที่อาจจะเรียกได้ว่าสำคัญมากก็คือ การเข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) เพื่อรับการเปิดการค้าเสรีเมื่อปลายปี 2001
ล่าสุด การค้าเสรีก็เริ่มพ่นพิษร้ายให้กับภาคเกษตรจีนบ้างแล้วอย่างเช่น
ชาวสวนผู้ปลูกลำไยในเซี๊ยเหมิน (Xiamen) ก็ประสบกับอาการช็อกเมื่อรู้ว่าราคาลำไยนำเข้าจากไทยอยู่ที่เพียง 0.6 หยวนต่อกิโลกรัม เป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบสิบปี
อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวทางการจีนก็คาดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น และก็ระบุว่าจำเป็นจะต้องให้เป็นไปเพื่อให้ภาคเกษตรจีนปรับตัว เกิดการแข่งขันและการพัฒนาในการผลิต
ทั้งนี้ในการปรับตัวนั้นนักเศรษฐศาสตร์จีนหัวนีโอคลาสสิกบางส่วนก็ป่าวประกาศให้รัฐมีมาตรการอย่างจริงจังเพื่อปกป้องทรัพย์สินเอกชนเสียที เนื่องจากปัจจุบันในรัฐธรรมนูญของจีนยังไม่มีหัวข้อที่พูดถึงว่า "ทรัพย์สินของภาคเอกชนจะถูกละเมิดมิได้ (Private Property is inviolable)" นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้มีการยกเลิกระบบการลงทะเบียนประชากรถาวร หรือ Permanent residence เพื่อให้แรงงานสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระ โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นตัวเสริมให้เกิดชนชั้นกลางอย่างแท้จริง
ถึงตรงนี้ผมนึกถึงคำของ George Bernard Shaw (ค.ศ.1856-1950) ยอดกวีชาวไอริชผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้านวรรณกรรมเมื่อปี 1925 และนักคิดหัวสังคมนิยมและเป็นคนที่มีความเห็นตรงกับ Karl Marx หลายประการ ทำให้เขาเขียนงานวรรณกรรมเชิงวิพากษ์สังคม-การเมือง ออกมามากมายด้วยกัน
Shaw กล่าวไว้ว่า "The government who robs Peter to pay Paul can always depend on the support of Paul."
กระบวนการสร้างชนชั้นกลางจีนก็คือ การสร้าง Paul นั่นเอง แล้วก็ไม่รู้ว่า
Peter ที่ตกระกำลำบากจะหันหน้าไปพึ่งใครได้?
หมายเหตุ : *ดัชนีจีนี่ (Gini coefficient) เกิดจากนักสถิติชาวอิตาลีชื่อ
Corrado Gini ซึ่งแสดงดัชนีการกระจายรายได้ด้วยตัวเลข 0 ถึง 100 ถ้าตัวเลขเป็น
0 แสดงว่าทุกคนมีรายได้เท่ากันหมด และตัวเลข 100 แสดงว่ามีคนเดียวที่มีเงิน
ขณะที่คนอื่นไม่มีเลย
-