|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
โกลบอลฯ มั่นใจยอดขายปีนี้โตตามเป้า 3.6 พันล้านบาท เนื่องจากมีลูกค้าใหม่เพิ่มและสินค้ามาร์จินสูงขึ้น ฟุ้งครึ่งปีหลังจ่ายปันผลสูงกว่าครึ่งปีแรกที่ปันผลในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น เร่งรุกตลาดพลาสติกและเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษในปีหน้า เหตุมาร์จินสูงและเลี่ยงการแข่งขันตลาดพลาสติกชนิดธรรมดาที่นับวันจะรุนแรง
นายสมชาย คุลีเมฆิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอล คอนเน็คชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (GC) เปิดเผยว่าในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.6 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8-10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3.2 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิเติบโตสูงกว่าปีที่แล้ว หลังจากครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 32 ล้านบาท เนื่องจากสินค้าใหม่ที่เข้าทำตลาดมีมาร์จินสูงขึ้น ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น รวมทั้งบริษัทฯได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้เสียภาษีเงินได้เพียง 25%จากเดิม 30%
ดังนั้น บริษัทฯมั่นใจว่าจะจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในงวดครึ่งปีหลังนี้ไม่น้อยกว่า 6 เดือนแรกของปีนี้ที่จ่ายปันผลในอัตรา 0.10 บาท/หุ้น ซึ่งผลสำรวจของ บล.ทิสโก้ พบว่า GC ที่จ่ายผลตอบแทนเงินปันผลครึ่งแรกของปีนี้สูงสุดติดอันดับที่ 26 อยู่ที่ 3.8% ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายที่บริษัทเคยตั้งเป้าหมายในช่วงเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯว่าจะติดอันดับ 1 ใน 50 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์ที่จ่ายปันผลสูงสุดภายใน 3-5ปี
ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้จjายเงินปันผลในอัตรา 80% ของกำไรสุทธิ หรือหุ้นละ 0.14 บาท และปีนี้คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลได้สูงขึ้น เนื่องจากปีหน้าบริษัทฯไม่มีแผนจะใช้เงินลงทุน จึงสามารถจ่ายเงินป้นผลตอบแทนผู้ถือหุ้นได้มากเหมือนปีที่แล้ว
นายสมชาย กล่าวถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในอนาคตว่า ในปีหน้าเม็ดพลาสติกชนิดธรรมดาราคาจะปรับตัวลง แต่ยังไม่ใช่ช่วงต่ำสุดของวัฎจักรราคา ซึ่งเชื่อว่าในปลายปี 2551 ราคาน่าจะปรับตัวต่ำสุด แต่ไม่รุนแรงเหมือนในอดีตแม้ว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่จากตะวันออกกลางเข้ามา แต่ในช่วงที่ผ่านมา มีการควบรวมกิจการของผู้ผลิตพลาสติกรายใหญ่ของโลกมาตลอด ทำให้การแข่งขันด้านราคาไม่รุนแรงมากเพื่อรองรับปัญหาความผันผวนด้านราคาเม็ดพลาสติกเกรดธรรมดา(Commodity)ที่จะแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้ง ๆ ที่มาร์จินต่ำอยู่แล้ว บริษัทฯจึงให้ความสำคัญในการทำตลาดสินค้ากลุ่มพลาสติกวิศวกรรม (Specialty and engineerin Plastic) และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Special Chemical) ที่มีมาร์จินสูงถึง 8-20%แทน
โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้กำไรจากกลุ่มธุรกิจเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษและเคมีคอลชนิดพิเศษเป็น 50%ของรายได้จากปัจจุบันที่รายได้เพียง 25%ภายใน3ปีข้างหน้า โดยอาศัยความได้เปรียบด้านโครงสร้างอัตราภาษีนำเข้าเม็ดพลาสติกของประเทศนอกกลุ่มอาฟต้าที่จะปรับลดลงเหลือ 5%ในปี 2550 ขณะเดียวกันบริษัทผุ้ผลิตเม็ดพลาสติกข้ามชาติเองก็ให้ความเชื่อมั่นใจGCว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายที่มีความเข้มแข็งด้านการเงิน และความโปร่งใส ทำให้ปัจจุบันเป็นตัวแทนจำหน่ายเม็ดพลาสติกของเอ็กซอน โมบิลฯ และดูปองท์ เอ็นจิเนียริ่ง โพลิเมอร์ นอกเหนือจากเป็นตัวแทนจำหน่ายเม็ดพลาสติกรายใหญ่ให้เครือปูนซิเมนต์ไทย
"ตราบใดที่บริษัทฯมีสัมพันธภาพที่ดีกับลูกค้า และมีความเชี่ยวชาญ ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรายใหญ่มีแนวโน้มจะให้ตัวแทนจำหน่ายเข้ามาทำการตลาดให้ลูกค้ารายเล็ก เพราะไม่ต้องการเป็นภาระ ซึ่งบริษัทที่มั่นคง มีจรรยาบรรณและโปร่งใส ทำให้ผู้ผลิตรายใหญ่ที่เข้ามาทำตลาดในไทยเขาก็จะเลือกเราเป็นเอเย่นต์ ทำให้เราเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ และเป็นตัวที่สร้างรายได้ค่อนข้างมากในอนาคต"นายสมชายกล่าว
ปัจจุบัน บริษัทฯมี 3 กลุ่มธุรกิจ คือ 1.พลาสสติกชนิดธรรมดา มีมาร์จินเพียง 3-5% คิดเป็นสัดส่วนยอดขายรวม 70% และกำไร 50% 2. พลาสติกวิศวกรรมเกรดพิเศษ คิดเป็นยอดขาย 20% และกำไร 35 % และ 3. เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ คิดเป็นยอดขาย 5% และกำไร 12-15 % ซึ่งแนวโน้มการเติบโตในอนาคตจะเน้น 2 กลุ่มธุรกิจหลัง เพราะมีมาร์จินสูงกว่า และการแข่งขันน้อยกว่า
นายสมชาย ยอมว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯทำตลาดในต่างประเทศพลาดเป้าหมาย โดยส่งออกเม็ดพลาสติกไปเวียดนามและออสเตรเลียเพียงเล็กน้อย คิดเป็นสัดส่วนของรายได้เพียง 1%เท่านั้น เนื่องจากเห็นว่ายังไม่คุ้มการลงทุน เพราะผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรายใหญ่ทั้งปูนซิเมนต์ไทยและปตท.ก็มีการทำตลาดในประเทศอาเซียนอยู่แล้ว จึงหันมามุ่งเน้นทำตลาดในไทยเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า การทำตลาดส่งออกจะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น เนื่องจากบริษัทฯจะเน้นส่งเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษไปจำหน่ายในประเทศอาเซียนหากลูกค้ามีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น
ปัจจุบันหุ้นGCมีสภาพคล่องค่อนข้างต่ำ เนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 รายแรกถือครองหุ้นทั้งหมด 77.5% แต่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่พร้อมก็พร้อมที่จะขายหุ้นออกมาหากมีนักลงทุนสนใจซื้อหุ้นในกระดาน เพื่อหวังเพิ่มสภาพคล่อง ขณะที่บริษัทฯมีมาร์เก็ตแคปต่ำเพียง 500 ล้านบาท จึงไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนสถาบันต่างชาติ แม้ว่าจะมีการจ่ายปันผลในอัตราสูงก็ตาม ดังนั้น ในอนาคตบริษัทฯมีเป้าหมายที่จะเพิ่มมาร์เก็ตแคปเป็น 3-5 พันล้านบาทด้วย
|
|
|
|
|