|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดทิศทางการลงทุนไตรมาส 4 ยังชะลอต่อเนื่อง เหตุต่างชาติยังรอดูนโยบายรัฐบาลใหม่ และจะกระเตื้องขึ้นในปี 50 หลังเบิกจ่ายงบประมาณได้ แต่ยังคงต้องจับตาการลงทุนต่างชาติจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ พร้อมหนุนใช้นโยบายเศรษฐกิจพอเพียงสร้างเสถียรภาพและการสร้างสมดุลในการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินแนวโน้มการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีว่า น่าจะยังมีทิศทางที่ชะลอตัวต่อเนื่องจากในไตรมาสที่ 3 โดยอาจจะมีอัตราการขยายตัวประมาณ 3.8% จาก 5.2%ในครึ่งปีแรก โดยในส่วนของนักลงทุนต่างชาติอาจมีความกังวลต่อทิศทางทางการเมืองและรอดูความชัดเจนในเรื่องนโยบายรัฐบาล ทำให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศชะลอตัวอยู่ ขณะที่การลงทุนในภาครัฐนั้น เนื่องจากการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2550 คงจะเริ่มต้นได้ไม่ทันไตรมาสแรกของปีงบประมาณ จึงทำให้การลงทุนภาครัฐดำเนินการได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ จากภาวะอุทกภัยที่รุนแรงกว่าทุกๆปี จะเป็นอุปสรรคต่อกิจกรรมด้านการก่อสร้าง แต่เมื่อระดับน้ำเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ก็คาดว่าจะมีการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัย ทำให้การก่อสร้างฟื้นตัวได้บ้าง ดังนั้น คาดว่าการลงทุนในปี 2549 อาจขยายตัวประมาณ 4.5% ชะลอลงจากที่มีอัตราการเติบโต 11.4% ในปี 2548
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในปี 2550 คาดว่าปัจจัยลบที่กดดันภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสที่จะผ่อนคลายลง ขณะที่จุดเปลี่ยนทางการเมืองได้ทำให้ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนของประเทศเปลี่ยนแปลงไปทั้งในด้านบวกและด้านลบ โดยในด้านบวก การใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลประจำปีงบประมาณ 2550 คงจะเริ่มต้นเบิกจ่ายได้เร็วกว่าที่คาด ซึ่งเม็ดเงินใช้จ่ายของภาครัฐที่เข้าสู่ระบบน่าจะเป็นผลดีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดใหม่อาจมีการทบทวนแผนการลงทุนของรัฐบาลชุดที่แล้วในบางส่วน และด้วยข้อจำกัดของการเป็นรัฐบาลชั่วคราว อาจทำให้ต้องชะลอการตัดสินใจลงทุนในโครงการที่ก่อภาระผูกพันต่อเนื่องไปในอีกหลายปีข้างหน้า ด้วยเหตุนี้ การลงทุนของภาครัฐภายใต้รัฐบาลชั่วคราวอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงนัก
นอกจากนี้ ประเด็นทางการเมืองที่รัฐบาลชุดใหม่มีวาระบริหารประเทศชั่วคราวไปจนกว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งในปลายปี 2550 อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนยังคงไม่แน่ใจถึงนโยบายที่อาจเปลี่ยนแปลงเมื่อมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งเข้ามาใหม่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้นักลงทุนต่างประเทศบางกลุ่มที่ไม่คุ้นเคยกับประเทศไทย อาจจะชะลอการตัดสินใจที่จะลงทุนในประเทศไทยไปชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อน
ดังนั้น คาดว่าการลงทุนโดยรวมของประเทศในปี 2550 อาจขยายตัวอยู่ในช่วง 4.0-5.2% ซึ่งมีโอกาสที่จะปรับตัวดีขึ้นกว่าในปี 2549 ที่คาดว่าจะขยายตัว 4.5% โดยการลงทุนของภาคเอกชนในปี 2550 มีอัตราการขยายตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากปี 2549 สำหรับการลงทุนของภาครัฐ แม้ว่ามีแนวโน้มดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม แต่คงมีอัตราการขยายตัวไม่สูงนัก
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่เป็นที่น่าจับตามองคือ การเข้ามาของรัฐบาลชุดใหม่นอกจากจะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองแล้ว ยังอาจเปลี่ยนแปลงจุดเน้นของนโยบายเศรษฐกิจและการลงทุนที่หันมาเน้นหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวคิดที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักพื้นฐานในการบริหารเสถียรภาพและการสร้างสมดุลในการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากภายในที่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้ดี ขณะที่เศรษฐกิจที่พึ่งพาปัจจัยภายนอกสูงจะมีความเปราะบางต่อปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น ซึ่งเห็นได้ว่าหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล และการสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นสิ่งที่สอดคล้องกันกับการสร้างสมดุลให้กับเศรษฐกิจมหภาคของไทยเป็นอย่างดี
|
|
|
|
|