Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน13 ตุลาคม 2549
หม่อมอุ๋ยมอบนโยบายขรก.คลังโชว์วิชั่นพอเพียง-รื้อกฎหมาย-ขึ้นดบ.บัตรเครดิต             
 


   
www resources

โฮมเพจ กระทรวงการคลัง

   
search resources

กระทรวงการคลัง
ปรีดิยาธร เทวกุล, ม.ร.ว.
Credit Card




ระทึก "โคมไฟแตก-พวงมาลัยขาด" วันแรกที่หม่อมอุ๋ยเข้ากระทรวงการคลัง ก่อนมอบนโยบายข้าราชการ สั่งเดินหน้าเรื่องดีเว้นเรื่องชั่ว โชว์วิชั่น "การเงินการคลังแบบพอเพียง" เผยรัฐบาลมีเงินเพียงพอลงทุน ต่างชาติเข้าใจประเทศไทย เตรียมแก้ไขกฎหมายการเงินพร้อมไฟเขียวเพิ่มเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18 เป็น 20% ส่วนคดีชินฯ ขอศึกษาเรื่องภาษีก่อน

วานนี้ (12 ต.ค.) เมื่อเวลา 9.00 น. ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ได้เดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงการคลัง ประกอบด้วย ศาลพระพรหมหน้ากระทรวงการคลัง ศาลพระภูมิเจ้าที่ และ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยมีนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลังและข้าราชการระดับสูงให้การต้อนรับ ก่อนสักการะช้างคู่ประจำกระทรวงการคลัง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้น 3 บริเวณห้องทำงาน

ระทึกโคมไฟแตก-พวงมาลัยขาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้ทำการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้นได้มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้รอการต้อนรับต้องตกใจและวิจารณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น 2 ครั้งคือ 1.ในขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรทำการสักการะพระพรหมหน้าบริเวณกระทรวงการคลังได้มีเจ้าหน้าที่เดินชนโคมไฟบริเวณพระพรหมแตกจึงทำให้เกิดเสียงดัง และ2.ในขณะที่ทำการสักการะช้างคู่บริเวณหน้ากระทรวงการคลังนั้นในขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรได้นำพวงมาลัยไปคล้องที่ช้าง พวงมาลัยได้ขาดออกจากกัน

หลังจากเสร็จสิ้นจากการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เรียกประชุมและมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจในสังกัด ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า นโยบายการทำงานของกระทรวงการคลังในระยะเวลา 1 ปีนั้น เป็นระยะการทำงานที่สั้นดังนั้นทุกหน่วยงานจึงต้องร่วมมือกัน อะไรที่ทำแล้วเกิดผลดีอยู่แล้วก็ให้เดินหน้าต่อไป ส่วนอะไรที่ทำแล้วไม่ดี ก็ให้ยกเลิกเพราะไม่เกิดประโยชน์

“ได้ฝากให้ผู้บริหาร ทุกกรม ทุกรัฐวิสาหกิจและทุกสถาบันการเงินร่วมกันคิดว่าสิ่งไหนที่จะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ให้เดินหน้าต่อไป สิ่งไหนที่ไม่ดีดูแล้วว่าผิดธรรมนองคลองธรรมควรเลิกได้ก็เลิก หรือใครอยากทำอะไรที่เกิดประโยชน์ก็ให้รีบเสนอมาและให้เสนอมาโดยเร็ว เนื่องจากการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้มีเวลาน้อย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว

กำชับการเงินการคลังพอเพียง

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า นโยบายการคลังในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาถือว่ามีความเหมาะสมต่อระบบเศรษฐกิจแล้ว เพราะหนี้สาธารณะในปัจจุบันก็ลดลงเหลือเพียง 41% ของจีดีพีถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในเอเชีย ซึ่งในปีงบประมาณ 2550 รัฐบาลจะใช้งบประมาณแบบขาดดุลแต่ไม่เกิน 2% ของจีดีพีโดยถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะนำตัวเลขงบประมาณเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในสัปดาห์หน้าเพื่อให้ครม.ลงมติต่อไป ซึ่งการใช้งบประมาณแบบขาดดุลจะช่วยเสริมให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าได้เร็วขึ้นหลังจากในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2549 เศรษฐกิจได้ชะลอตัวลง แต่ในไตรมาสสุดท้ายราคาน้ำมันเริ่มลดลงการเมืองนิ่งทุกอย่างคลี่คลายทำให้การลงทุนภาคเอกชนที่เคยอั้นมานานสามารถเดินหน้าต่อไปได้

“นโยบายการเงินการคลัง เป็นตัวที่ตรงกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่สุดแล้ว โดยจะประกอบด้วย 3 ตัว คือ เพียงพอ พอตัว และพอดี นั่นคือ ต้องมีทรัพยากรที่เพียงพอ ส่วนพอตัว ก็คือ ต้องไม่ทำอะไรเกินตัว ไม่ขยายเกินตัว หรือภาคครัวเรือนก็ต้องไม่ใช้จ่ายเกินตัว ส่วนการลงทุนก็ไม่ควรขยายจนเกินการออม จนต้องไปกู้เงินมา”

รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังกล่าวว่า เศรษฐกิจพอเพียง สามารถไปได้ด้วยดีกับเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี เพราะจะช่วยทำให้เศรษฐกิจแบบตลาดเสรีเติบโตได้อย่างสมดุล และจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจอีกได้ โดยไม่ได้มีเพียงประเทศไทยเท่านั้น ที่จะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในลักษณะนี้ แต่หลายประเทศในโลก เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลียก็ดำเนินเศรษฐกิจในลักษณะนี้เช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้น

โดยเศรษฐกิจของสองประเทศนี้ เติบโตได้โดยไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งต่างจากการเติบโตของไทยในช่วงที่ผ่านมา ที่ยิ่งเติบโตทรัพยากรก็เริ่มเสื่อมโทรมลงไป จนอาจจะไม่เพียงพอต่อการรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนี้ เห็นว่าการที่เศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น ก็ต้องมีทรัพยากรที่เพียงพอ

ยืนยันรัฐยังมีเม็ดเงินลงทุน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวด้วยว่า ในด้านการลงทุนของประเทศที่ต้องไม่มากเกินกว่าเงินออมในระบบที่มีอยู่เพื่อให้เกิดความพอดีนั้น ขณะนี้ ก็พบว่า เมื่อพิจารณาจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังเป็นบวกอยู่ ก็แปลว่า เงินออมยังมากกว่าการลงทุน ดังนั้น จึงยืนยันได้ว่ารัฐบาลมีเงินในการลงทุนอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ การลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์นั้น ในด้านโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ทาง รมว.คมนาคม ได้รับเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ส่วนโครงการด้านการจัดการน้ำทั้งระบบ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม จะเป็นผู้ดูแล ส่วนการนำเข้ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศใช้เครื่องยนต์เอ็นจีวี 2,000 คัน นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ รมว.พลังงาน เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งกรณีการลดภาษีหรือไม่นั้น คงต้องหารือกันก่อน

เชื่อต่างชาติเข้าใจสถานการณ์

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติมีความเข้าใจสถานการณ์การเมืองในเมืองไทยมากขึ้น รวมทั้งเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ว่าสามารถเข้ากับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีได้ โดยภายในระยะเวลา 1 ปีนี้ ไทยจะต้องปรับตัวในทางการเมือง เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง อาทิ การเลือกตั้ง ก็ต้องปราศจากการครอบงำ ประชาชน และสื่อมวลชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเต็มที่ เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาขาดในจุดนี้

นอกจากนี้ ยืนยันได้ว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็พบว่า ต่างชาติไม่ได้ขาดความมั่นใจที่จะลงทุนในประเทศไทย โดยพิจารณาจากภาวะตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศในยุโรปที่ยังขายได้ รวมถึงเมื่อเปิดตลาดหลักทรัพย์ ก็พบว่า ต่างชาติยังซื้อสุทธิติดต่อกันหลายวัน ซึ่งคิดว่า หากต่างชาติไม่มั่นใจก็คงจะไม่ซื้อสุทธิอย่างแน่นอน

"เชื่อว่า หลังจากนี้บรรยากาศต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มดีขึ้น ทั้งด้านการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัวอยู่ที่ 3.8% ในช่วงที่ผ่านมา แต่หากบรรยากาศดีขึ้น ก็จะกลับมาขยายตัว 4% ได้อีกครั้ง โดยส่วนที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่ ได้แก่ การลงทุนภาคเอกชน ที่เดิมคาดว่าจะชะลอตัวจนถึงไตรมาสที่สี่ปีนี้ แต่ขณะนี้มั่นใจว่า ตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ปีนี้ การลงทุนภาคเอกชนจะเริ่มขยายตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่อั้นมานาน"

รื้อกฎหมายการเงินทั้งกระบิ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 1 ปีกระทรวงการคลังจะพยายามผลักดันกฎหมายที่ใช้กำกับดูแลสถาบันการเงินทั้งระบบ ทั้งธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจประกันภัยประกันชีวิต ธุรกิจหลักทรัพย์ หลักทรัพย์จัดการกองทุน รวมทั้งกฎหมายของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยจะแก้ไขให้มีความเหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการกำกับดูแลสูงสุด

โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาและนำเสนอต่อครม.เพื่อขออนุมัติต่อไป แต่ยืนยันว่าจะไม่สนับสนุนให้มีการแยกอำนาจการกำกับดูแลธปท.ออกจากกระทรวงการคลัง เนื่องจากระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันถือว่ามีความเหมาะสมดีอยู่แล้ว

“ตอนที่ผมเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติผมก็คัดค้านการแยกอำนาจควบคุมตอนนี้ผมมาเป็นรัฐมนตรีคลังผมก็ยังยืนยันที่จะไม่ให้แยกอำนาจต่อไป เพราะระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมีมากว่า 60 ปีแล้วและก็มีความเหมาะสมไม่มีความจำเป็นต้องแยกอำนาจแต่อย่างใด” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว

ส่วนการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากจะต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จเช่นเดียวกัน เนื่องจากเปรียบเสมือนยันต์กันผี การจัดตั้งขึ้นมาเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประเทศและไม่ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินต้องเข้ามารับภาระหากมีความเสียหายเกิดขึ้นอีก

เร่งแก้หนี้เน่าแบงก์รัฐ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า จะเร่งตรวจสอบการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐว่าแห่งใดประสบปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ในระดับที่สูง โดยจะเร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุดไม่ให้เกิดปัญหาลุกลามต่อไป ซึ่งจะนำเอาวิธีการบริหารงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่คอยควบคุมดูแลธนาคารพาณิชย์หากพบสัญญาณว่าจะเกิดปัญหาก็จะดำเนินการแก้ไขในทันที

ทั้งนี้จากการพิจารณาตัวเลขในเบื้องต้นพบว่าสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐจำนวนประมาณ 2-3 แห่งประสบปัญหาเอ็นพีแอลในระดับที่สูงกว่าปกติ ซึ่งกระทรวงการคลังในฐานะผู้กำกับดูและโดยตรงจะต้องดำเนินการแก้ไขให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับธนาคารพาณิชย์เพื่อป้องกันไม่ให้ความเสียหายจากการปล่อยกู้เกิดได้

ไฟเขียวขึ้นดอกเบี้ยบัตรเครดิต

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า การที่ชมรมผู้ประกอบการบัตรเครดิตได้เสนอให้ ธปท.อนุมัติเพิ่มเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตจากเดิม 18% เป็น 20% นั้นคงมีการเซ็นอนุมัติให้กับผู้ประกอบการได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่าการที่ผู้ประกอบการยื่นขอเพิ่มดอกเบี้ยมานั้นมีเหตุผลที่ยอมรับได้เพราะต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นจากเมื่อก่อนมากและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นก็ยังต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อบุคคลที่อยู่ในระดับ 28% จึงเห็นด้วยที่จะมีการเพิ่มเพดานดอกเบี้ยขึ้น

ทั้งนี้ หากธปท.และกระทรวงการคลังเข้มงวดกับอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตมากเกินไปโดยไม่มีการอะลุ่มอล่วยก็จะทำให้ผู้ประกอบการไม่อยากให้บริการแก่ประชาชน เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจไม่คุ้มค่ากับต้นทุน โดยการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ก่อให้เกิดภาระกับผู้ถือบัตรเครดิตมากเกินไป

“เรามีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าภาระต้นทุนของเขาสูงขึ้นมากจึงจำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยให้เขา และคงไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ถือบัตรเพราะยังใกล้เคียงกับระดับเดิม หากใครคิดว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เกิดภาระก็ไม่ต้องใช้บัตรเครดิตจะได้ไม่ต้องมีภาระจากการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว

ส่วนตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่คาดว่าจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม.เพื่อขออนุมัติได้ภายในสัปดาห์หน้า

ขอศึกษาเรื่องภาษีหุ้นชินก่อน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า กรณีการจัดเก็บภาษีการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร ให้กับกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์นอกตลาดหลักทรัพย์นั้นต้องขอดูรายละเอียดเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร เนื่องจากยังไม่เข้าใจกฎหมายภาษีมากนัก

ซึ่งเท่าที่ผ่านมานายสุวรรณ วลัยเสถียร ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านภาษีระดับต้นของประเทศก็ออกมาให้ความเห็นอยู่เสมอว่าไม่ต้องเสียภาษีไม่มีปัญหาในเรื่องนี้แต่อย่างใด แต่ก็ต้องขอดูข้อมูลให้ชัดเจนอีกครั้งต้องทำตามเนื้อผ้า ผิดก็ว่าตามผิดถูกก็ว่าตามถูก

ส่วนการที่กองทุนเทมาเส็กต้องการลดสัดส่วนการถือหุ้นบมจ.ชินคอร์ปอเรชั่นลงเพื่อลดแรงต่อต้านจากสังคมนั้น ก็ถือเป็นเรื่องของนักลงทุนที่ต้องเจรจากันเอง รัฐบาลไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วยกับการถือหุ้นของเทมาเส็ก โดยหากขายออกมาในตลาดก็คงมีคนต้องการซื้อเพราะเป็นหุ้นพื้นฐานดี

“เขาอยากลดสัดส่วนก็เรื่องของเขาเป็นเรื่องที่เอกชนต้องไปคุยกันเองสิงคโปร์เป็นประเทศที่เก่งในเรื่องการลงทุนอยู่แล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะตอนที่ซื้อหุ้นเข้าก็ไม่ได้มาบอกให้รัฐบาลรับรู้แต่อย่างใด คนซื้อกับคนขายเขาคุยกันเองและรัฐบาลก็ไม่จำเป้นจะต้องไปให้สิทธิพิเศษอะไรกับเขาด้วย”   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us