|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
จากการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศในช่วงตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน ที่เกิดเหตุการณ์คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.)เข้ามายึดอำนาจรัฐบาลในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ จนถึงวานนี้(11 ต.ค.) พบว่าในแง่ของดัชนีตลาดหุ้นก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวมากนัก อยู่ในลักษณะทรงตัว โดยดัชนีวันที่ 19 กันยายนอยู่ปิดที่ 702.56 จุด แต่วานนี้ดัชนีปิดที่ 697.82 จุด อย่างไรก็ตามในแง่ของการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศพบว่าในช่วงเกือบหนึ่งเดือนตั้งแต่ 19กันยายนถึง 11 ตุลาคมนักลงทุนต่างประเทศมีการซื้อสุทธิ 7,723.55 ล้านบาท
นายวรุตม์ ศิวะศิริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย ในช่วงตั้งแต่เกิด เหตุการณ์คปค.ได้เข้ามาปฏิวัติและยึดอำนาจรัฐบาลนั้น ซึ่งมีปัจจัยหลัก 3 ประการ ประกอบด้วย ภาพรวมเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาในตลาดหุ้นในแถบเอเชีย เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์มีการอ่อนค่าลง และการที่ประเทศจีนมีการปรับค่าเงินหยวนเพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลให้ค่าเงินในแถบเอเชียรวมถึงค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ การที่ตลาดหุ้นไทยมีราคาถูกมีค่าพี/อี เรโช หรือP/Eที่ 7-8 เท่า และนักลงทุนต่างประเทศมองว่าปัจจัยการเมืองมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงการที่จะมีการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน(เมกะโปรเจกต์)นั้น ก็จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น ซึ่งคาดว่าGDP ปีหน้าจะเติบโตที่ 5% และกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะโตได้ 5-10%
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยมานานแล้ว มองว่ามีการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองที่เกิดขึ้นนั้น เป็นไปในทิศทางที่ดี และสามารถที่จะคลี่คลายได้ในระยะเวลาอันสั้น ไม่ยืดเยื้อเหมือนกับในต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ซึ่งปกติแล้วนักลงทุนต่างประเทศที่เป็นลักษณะเก็งกำไร(เฮดจ์ฟันด์)นั้น จะไม่สนใจในเรื่องการปฏิรูปการเมือง หรือไม่ปฏิรูปการเมือง ที่นักลงทุนเฮดจ์ฟันด์ให้ความสำคัญคือ ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจ มากกว่าซึ่งเมื่อรัฐบาลเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณก็จะส่งดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจและส่งผลต่อการลงทุนในตลาดทุนเพิ่มขึ้น
นายวรุตม์ กล่าวว่า จากการที่ทิศทางเศรษฐกิจในปี 2550 จะปรับตัวที่ดีขึ้นนั้น ก็จะส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น นั้น ซึ่งคาดว่าหุ้นกลุ่มหลักที่มีกำไรสุทธิที่โตนำตลาด คือ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากในปีนี้ธนาคารพาณิชย์ได้มีการจ่ายภาษีทำให้กำไรสุทธิติดลบประมาณ 20% จากกำไรจากการดำเนินปกติเพิ่มขึ้น 10-15% แต่ในปีหน้าเมื่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ไม่ต้องมีการเสียภาษีทำให้เมื่อมีกำไรสุทธิเท่ากับกำไรจากการดำเนินงานปกติ ประกอบกับคาดว่าการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มที่ภาคเอกชนขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น
“ สำหรับหุ้นที่นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในช่วงที่ผ่านมา เช่น กลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ วัสดุก่อสร้าง ที่ได้จะผลรับดีในปีหน้าที่จะมีการเติบของกำไรสุทธิที่ดี จากการลงทุนของภาครัฐ และคาดว่าปีหน้าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเป็นกลุ่มที่มีกำไรสุทธิเติบโตที่นำตลาด แทนกลุ่มพลังงานที่ปีนี้มีกำไรสุทธิ เพราะ ในปีหน้าราคาน้ำมันปรับตัวลดลง”นายวรุตม์กล่าว
โดยบริษัทแนะนำนักลงทุนมีการซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ วัสดุก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์ ,ปิโตรเคมี และให้ลดการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ส่วนนักลงทุนเก็งกำไรควรที่จะหันมาเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่แทนในปีหน้า เนื่องจาก สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มีความเข้มงวดมากขึ้นในการคุมเรื่องการกำหนดวงเงินลูกค้าของโบรกเกอร์ในหุ้นที่มีปริมาณการหมุนเวียนสูง
นายชัยพัชร ธนวัฒโน นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทิสโก้ จำกัดกล่าว่า จากที่ผ่านมาตนได้มีการหารือกับนักลงทุนต่างประเทศในเรื่องมุมมองในเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งก่อนที่จะมีการปฏิรูปการปกครองนั้น การเมืองไทยยังไม่มีความชัดเจนและเหมือนกับยังไม่มีทางออก โดยเมื่อเกิดการปฏิรูปการปกครองเกิดขึ้นทำให้ภาพการเมืองไทยมีความชัดเจนและมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น และจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาที่มีการร่างเมื่อปี 2540
ดังนั้น เมื่อการเมืองมีความชัดเจน เศรษฐกิจมีการปรับตัวที่ดีขึ้น จึงสะท้อนให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย และเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้ามาลงทุนและได้รับผลตอบแทนที่ดี จากขณะนี้ราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ต่ำ และในช่วงต้นสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างประเทศก็ยังคงซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอยู่ ซึ่งตนรู้สึกแปลกใจ เพราะ ในสัปดาห์นี้มีหุ้นขนาดใหญ่ในประเทศจีนมีการขายหุ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นไทยออกไป แต่การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศนั้นถือว่ายังเข้ามาซื้อยังไม่มากนัก
คาดว่าเม็ดเงินต่างประเทศจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เพื่อเข้ามาปรับพอร์ตการลงทุน ก่อนที่จะมีการหยุดพักผ่อนในช่วงเดือนธันวาคม โดยเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีอยู่ที่ 710-720 จุด โดยแนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อหุ้นในกลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KGI กล่าวว่า การที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอยู่เนื่องจากเป็นแนวโน้มของโลกที่จะมีการโยกเงินจากตลาดเงิน มายังตลาดทุน จากที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นจึงให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า จึงได้รับอานิสงฆ์เรื่องดังกล่าว ถึงแม้จะมีการปฏิรูปทางการเมืองเม็ดเงินต่างประเทศยังคงเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
|
|
 |
|
|