|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
โอเชียนกลาส ทุ่ม 990 ล้านบาท ผุดไลน์การผลิตเครื่องแก้วคริสตัล สานฝันผงาดสู่ผู้นำตลาดระดับโลกเทียบชั้นบริษัทสัญชาติเยอรมัน “Hwiezel” เร่งขยายตลาดต่างประเทศเต็มสูบ บุกเวียดนาม อินเดีย จีน ส่วนตลาดในไทยปัดฝุ่นโอเชียนชอปใหม่ ชูกลยุทธ์ไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตติ้ง ขยายฐานคนรุ่นใหม่ สิ้นปีตั้งเป้ามีรายได้ 1,600 ล้านบาท ส่วนปี 51 ตั้งเป้ารายได้โต 20%
นายสุพจน์ ศรีอุดมพร กรรมการฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องแก้ว เปิดเผยว่า บริษัทฯวางวิสัยทัศน์ก้าวสู่ “เวิลด์คลาส มาร์เก็ต ลีดเดอร์” ในตลาดเครื่องแก้ว หรือเทียบชั้นกับบริษัทเครื่องแก้ว Hwiezel จากประเทศเยอรมัน ปีนี้บริษัทฯจึงวางแผนขยายโปรดักส์ไลน์ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันมีเพียงเครื่องแก้วธรรมดาอย่างเดียว เมื่อเทียบกับบริษัทเครื่องแก้วระดับโลกมี 3 โปรดักส์ไลน์ ได้แก่ เครื่องแก้วคริสตัล เครื่องแก้วที่ทนความร้อนสูง และเครื่องแก้วธรรมดา โดยคู่แข่งสำคัญ คือ แบรนด์ ลิบบี้ กลาส ผู้ผลิตรายใหญ่จากอเมริกา และอาร์ค กลาส ผู้ผลิตเครื่องแก้วอันดับหนึ่งของโลก จากประเทศฝรั่งเศส
โดยได้ทุ่มงบ 990 ล้านบาท ซื้อสายการผลิตเครื่องแก้วคริสตัล เพื่อผลิตเครื่องแก้วคริสตัลเองจากก่อนหน้านี้จะเป็นการนำเข้ามาจากประเทศอิตาลีตลอด ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2550 หรือต้นปี 2551 มีกำลังการผลิต 15 ล้านชิ้นต่อปี เพิ่มขึ้น 10% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 140 ล้านชิ้นต่อปี เฟสแรกในปี 2550 ผลิต 7-8 ล้านชิ้นต่อปี และปี 2551 คาดว่าจะเต็มกำลังการผลิต
การทำตลาดเครื่องแก้วคริสตัลจะให้ความสำคัญทั้งสองตลาด เนื่องจากตลาดภายในประเทศ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเพียงรายเดียว คือ โลตัส คริสตัล ส่วนตลาดต่างประเทศเน้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ รวมไปถึงขยายตลาดในประเทศยุโรป และอเมริกาในอนาคต สำหรับเครื่องแก้วคริสตัลที่บริษัทฯ ผลิตขึ้นภายใต้แบรนด์โอเชียนกลาส จำหน่ายราคาสูงกว่า 2 เท่าตัว คาดว่าหลังจากรุกผลิตเครื่องแก้วคริสตัลผลประกอบการจะเติบโต 10-20% ในปี 2551 จากปกติในแต่ละปีเติบโต 10%
แผนทำตลาดต่างประเทศจะเน้นประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงอย่างเวียดนาม ซึ่งยอดขาย 8 เดือนมีการเติบโต 30% หรืออินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพ รวมถึงเกาหลี ไต้หวัน และญี่ปุ่น ล่าสุดได้จัดตั้งบริษัท โอเชียนกลาสเทรดดิ้ง (เซี่ยงไฮ้) จำกัด ขึ้นที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน มีทุนจดทะเบียน 1.5 แสนเหรียญสหรัฐ เพื่อดูแลกิจกรรมและเสริมศักยภาพให้กับผู้แทนจำหน่าย โดยในปี 2550 จะเน้นร่วมงานเทรด แฟร์ ที่สำคัญในจีน นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดโอเชียน เคาน์เตอร์ ในมาเลเซีย เพิ่มอีก 2 แห่ง จากปัจจุบันมี 7 แห่ง ส่วนกัมพูชากำลังเปิดชอปเพิ่มอีก 1 แห่ง ที่ เมืองเสียมเรียบ
งัดไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตติ้งเจาะคนรุ่นใหม่
นายสุพจน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการทำตลาดภายในประเทศไทยว่า จากแนวโน้มตลาดเครื่องแก้วมูลค่า 1,400 ล้านบาท มีการเติบโตเพียง 5-8% ดังนั้นจึงใช้กลยุทธ์ไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตติ้ง หรือการออกผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม ขยายฐานผู้บริโภคในครัวเรือนซึ่งเป็นผู้หญิงรุ่นใหม่ โดยประเดิมด้วยการทุ่มงบ 3 ล้านบาท ปรับปรุงโอเชียนชอป ที่ถนนอโศก ในรูปแบบไลฟ์สไตล์ ชอป บนพื้นที่ 200 ตร.ม. ซึ่งจะเป็นสถานที่สื่อสารถึงบุคลิกของแบรนด์และสร้างประสบการณ์ตรงกับลูกค้า
โดยภายในร้านได้เพิ่มไลน์สินค้าที่เป็นเครื่องแก้ว จานชามเซรามิค ภาชนะเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารประเภทไม้ เครื่องแก้วทนความร้อนนำเข้าจากญี่ปุ่น ฯลฯ มีสินค้าหมุนเวียนมากกว่า 1 หมื่นรายการ ยังได้เตรียมจัดกิจกรรมจัดแจกันดอกไม้ ทำอาหาร เครื่องดื่ม ฯลฯ ร้านโอเชียนชอปเจาะกลุ่มผู้บริโภคในครัวเรือนที่มีความทันสมัย รวมทั้งร้านอาหารในย่านสุขุมวิทและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ หลังจากปรับปรุงจะมียอดขาย 7 ล้านบาท หากได้รับการตอบรับดีจะพิจารณาปรับปรุงโชว์รูมโอเชียน 2 สาขา ที่ ภูเก็ต และขอนแก่นให้เป็นรูปแบบโอเชียนชอป ส่วนช่องทางจำหน่ายของดิสทริบิวเตอร์ ปีหน้าได้เตรียมขยายเพิ่ม 1-2 แห่ง จากปัจจุบันมีทั้งหมด 3 แห่ง
อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ บริษัทฯได้ปรับราคาเครื่องแก้วโอเชียนกลาส เพิ่มขึ้น 10% เนื่องจากต้นทุนการผลิตปรับเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯเป็นผู้นำตลาดเซกเมนต์ระดับกลาง-บน ครองส่วนแบ่ง 40% สำหรับยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ เติบโต 11% คิดเป็นมูลค่า 740 ล้านบาท แบ่งเป็นการเติบโตภายในประเทศ 29% และต่างประเทศ 4% โดยสิ้นปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายรวม 1,600 ล้านบาท
|
|
|
|
|