Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์9 ตุลาคม 2549
กองทุนคุ้มครองเงินต้นยังขลังโตสวนกระแสเศรษฐกิจดิ่ง-หุ้นตก             
 


   
search resources

Funds




กองทุนพันธบัตร-ตราสารหนี้ ขายดีสวนกระแสเศรษฐกิจขาลง ด้วยแบบกองทุนที่มีความเสี่ยงในระดับต่ำ และนักลงทุนก็อยากพิทักษ์ทรัพย์ของตนไว้ในสถานการณ์เช่นนี้ อิงแนวคิดกำไรต่ำแต่เงินต้นอยู่ครบ ทำให้ปีที่ผ่านมามูลค่าตลาดรวมกองทุนพันธบัตร-ตราสารหนี้โต19% โดดเด่นด้วยกองทุนประเภทซื้อคืนอัตโนมัติที่ออกกันแทบจะทุกค่ายดอกเบี้ย 4.5-4.8% ลงทุนสภาพคล่องสูงกว่าฝากประจำแบงก์ ยูโอบีเพิ่มสีสันวัตกรรมการลงทุนผุด อินโนเวทีฟ ไรสซิ่ง เจแปน อิงผลตอบแทนกับดัชนีนิเคอิ 225 คุ้มครองเงินต้น100%

วัฎจักรเศรษฐกิจขาลง ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในตลาดหุ้นตลาดทุนก็ย่อมลดลงเป็นธรรมดา ทำให้การลงทุนโดยรวมในตลาดหลักทรัพย์ขณะนี้อยู่ในสภาพที่มี ความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนต่ำกว่าที่เคยเป็นมา เมื่อเจอสภาพเช่นนี้เหล่าบรรดานักลงทุนเป็นจำนวนมากจึงเลือกที่จะป้องกันทรัพย์ก่อนติดร่างแหไปกับกระแสขาลงครั้งนี้

ซึ่งทางออกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดขณะนี้ก็คือการลงทุนในกองทุนรวมประเภทตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนได้ค่อนข้างคงที่แม้จะมีความเสี่ยงบ้างตามวลีอมตะที่ได้ยินกันเป็นประจำว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน”แต่ความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นกับกองทุนในลักษณะนี้ก็ถือได้ว่าน้อยเต็มที่ เมื่อเทียบกับกองทุนประเภทอื่น ๆ เช่น กองทุนหุ้น เป็นต้น

ภาพรวมของการเติบโตตั้งแต่ต้นปี48ของกองทุนประเภทนี้สูงขึ้นถึงราว 19%เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิปัจจุบันรวม 9.2 แสนล้านบาท

“ในช่วงต้นปีการที่ธนาคารพาณิชย์ขึ้นดอกเบี้ยระดมเงินฝากทำให้มีเม็ดเงินเคลื่อนย้ายจากวงการกองทุนรวมออกไปทั้งหมดเกือบแสนล้านบาท หลายกองทุนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องก็สะดุดลงไปบ้าง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าช่วงที่บริษัทแม่ที่เป็นธนาคารระดมเงิน ในฐานะบริษัทลูกก็มีเงินไหลออกไปมากเช่นกัน”แหล่งข่าวระบุ

สำหรับปัจจุบัน บริษัทจัดการกองทุนรวม(บลจ.)ที่มีเงินไหลเข้ากองทุนตราสารหนี้มากที่สุด 4 อันดับแรกล้วนเป็นบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ คือ บลจ.บัวหลวง ตั้งแต่ต้นปีมีเงินไหลเข้า 4.2 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 96% บลจ.กสิกรไทย มีเงินไหลเข้า 3.2 หมื่นล้านบาท ขยายตัวจากเดิม 23% บลจ.ทหารไทยมีเงินไหลเข้า 3.1 หมื่นล้านบาท ขยายตัว49% และ บลจ.ไทยพาณิชย์มีเงินไหลเข้า 1.6 หมื่นล้านบาท ขยายตัว14%

โดยกลยุทธ์ที่ บลจ.นำมาใช้กันมากในการดึงดูดเม็ดเงินของลูกค้าให้เข้ามาคือ การให้ข้อเสนอที่เป็นดอกเบี้ยสุทธิซึ่งตั้งแต่ 4.5-4.8%(มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำหลังหักภาษีของธนาคารพาณิชย์เล็กน้อย)รวมถึงการมีสภาพคล่องที่ครบกำหนดและสามารถไถ่ถอนได้เมื่อครบ 3เดือน6เดือนและ 12เดือนซึ่งเรียกได้อีกอย่างว่าซื้อคืนอัตโนมัติเมื่อครบกำหนด ส่วนใหญ่มีมูลค่ากองทุนตั้งแต่ 3-5พันล้านบาท และหลายกองทุนมีผู้สนใจซื้อเกินขนาดกองจนต้องขยายวงเงินออกไปอีก 15%

ไม่ว่าจะเป็น บลจ.เล็กหรือใหญ่ต่างก็ออกกองทุนประเภทนี้ออกมาเสนอขายกันทุกเดือน อย่างเช่น ในเดือนตค.นี้ บลจ.บัวหลวงก็ได้ออกกองทุนพร้อมกันถึง 3 กองในตระกูลธนรัฐที่มีอายุโครงการ 6,9 และ 12เดือนโดยให้ผลตอบแทน 4.6, 4.7 และ 4.8% ตามลำดับ ด้าน บลจ.ทหารไทยก็มีกองทุน ทหารไทยพันธบัตร 3,6,และ 12 เดือน ผลตอบแทน4.45,4.5และ 4.7% รวมถึงตระกูลกองทุนทหารไทยตราสารหนี้ภาคสถาบันการเงิน 162D ที่ให้ผลตอบแทน 4.8% หรืออย่าง บลจ.นครหลวงไทยก็มีการออกกองทุนออกมาถึง 3 กองเช่นกัน ในตระกูล แม็กซ์ สะสมทรัพย์คุ้มครองเงินต้น อายุ 1 , 6 และ 12 เดือน มีผลตอบแทน 4.5-4.7%รวมถึงน้องใหม่ล่าสุดในตระกูล แบงก์แอนไพร์มคอร์ปอเรท 1,2,3 ของบลจ.ไอเอ็นจี(ไทย)ซึ่งจะให้ผลตอบแทนประมาณ5%โดยเน้นกลยุทธ์ลงทุนในตั๋วเงินระยะสั้น(B/E)

วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี(ไทย) กล่าวว่า “ตั้งแต่ต้นปีมาเราได้ออกกองทุนลักษณะนี้ไปแล้วเกือบ 20 กองทุนและจะมี อีกราว 5-8กองทุนสำหรับไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ โดยเน้นนโยบายที่จะดึงดูดลูกค้าให้ผลตอบแทนไม่แพ้ บลจ.อื่น โดยที่ผ่านๆมาลูกค้าก็ยังสนใจในกองทุนประเภท 3 เดือนอยู่เนื่องจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคตยังไม่ชัดเจนนัก อย่างกองทุนล่าสุดที่เพิ่งออกไปให้ผลตอบแทน 4.8% ขนาดกองทุน5 พันล้านบาทก็มีคนจองล้นถึง 5,750 ล้านบาท”

อีกทั้งในภาวะเช่นนี้คำว่า “คุ้มครองเงินต้น”ยังถือว่ามีอิทธิฤทษ์ใช้เป็นยันต์ป้องกันความกลัวของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี ในขณะที่กองทุนพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้มีออกมาเต็มไปหมดแล้ว จึงมีการปรับนวัตกรรมใหม่ของกองทุนรวมขึ้นโดยยังคงแนวคิดการคุ้มครองเงินต้นให้ผู้ลงทุนอุ่นใจเช่นเดิมแต่มีโอกาสลุ้นมีโอกาสเลือกมากขึ้น โดยโอกาสที่เลวร้ายที่สุดจากการลงทุนคือ เมื่อครบอายุกองทุน สิ่งที่ผู้ซื้อหน่วยได้รับขั้นต่ำก็คือเงินต้นเท่าเดิม

สำหรับกองทุนใหม่นี้จะมีชื่อว่า กองทุนเปิด คุ้มครองเงินต้น อินโนเวทีฟ ไรสซิ่ง เจแปน (Innovative Rising Japan Capital Protection Fund: IRJ) โดยกองทุนนี้จะนำเงินไปลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ ในรูปแบบตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 2 อันดับแรก ได้แก่ AAA และ AA โดยมีวันครบกำหนดชำระใกล้เคียงกับอายุโครงการของกองทุน แต่โอกาสในการรับผลตอบแทนเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวของดัชนีนิเคอิ 225 สำหรับกองทุนดังกล่าวนี้ มีอายุโครงการประมาณ 2 ปี 5 วัน มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท ซึ่งจะจัดจำหน่ายผ่าน ธ.แสตนดาร์ดชาเตอร์

รูปแบบการลงทุนจะมีการเปรียบเทียบดัชนีนิเคอิ 225 ทุกๆเดือนหลังจากได้เริ่มลงทุนเทียบกันวันแรก เมื่อครบ 2ปีแล้วจะนำมาหาค่าเฉลี่ยเพื่อจ่ายผลตอบแทนตามอัตราส่วนที่ขึ้นมาให้ผู้ถือหน่วย หากผลรวมดัชนีเฉลี่ยสะสมมีค่าติดลบผู้ถือหน่วยก็จะได้รับเงินต้นเต็มจำนวน แต่หากดัชนีเฉลี่ยสะสมมีค่าเป็นบวกผู้ถือหน่วยก็จะได้ผลตอบแทนตามนั้น

สำหรับกองทุนรูปแบบนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่เร้าใจผู้ที่มีความกลัวว่าจะขาดทุนเข้าเนื้อ แต่สำหรับกรณีนี้ร้ายแรงที่สุดอย่างมากก็แค่ไม่มีดอกให้เท่านั้นซึ่งหากบวกเงินเฟ้อแล้วก็อาจจะขาดทุนนิดหน่อย แต่ถ้าตลาดฯเป็นดังคาดก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงกว่าลงทุนในพันธบัตรได้เช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา บลจ.ยูโอบี(ไทย)และ บลจ.ไทยพาณิชย์ ที่ทำกองทุนเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยและเพิ่งออกมาในช่วงกลางปีตนละกอง แต่ไม่สามารถระดมเงินได้มากนักเพราะยังเป็นรูปแบบที่แปลกใหม่นักลงทุนไม่คุ้นเคยประกอบกับนักลงทุนรายใหญ่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก หากแต่นวัตกรรมนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนารูปแบบกองทุนให้มีความหลากหลายต่อไป   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us