พบตระกูลชินวัตรเร่งขายที่ดินให้เอสซี แอสเสท แค่ 1 วันหลังคณะปฎิรูปฯ ยึดอำนาจ ทั้ง ๆ ที่เป็นวันหยุด แม้ยอมขายต่ำราคาประเมินแต่ได้เงินได้ 84 ล้าน ส่วนชิน คอร์ป จัดทัพซื้อหุ้นคืนจากดีบีเอส แบงก์ในแคปปิตอล โอเค ส่วนรายการอื่นพบ SHIN-CSL จ่ายปันผลสูงกว่ากำไร ส่อเจตนาเผ่น
หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองมีทางออก คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เข้ามายึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการของพรรคไทยรักไทย พร้อมทั้งได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และอาการของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคพร้อมทั้งลูกพรรคไทยรักไทยที่ปลงทยอยกันลาออก
ขณะเดียวกันคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่ได้รับการแต่งตั้งมีชื่อบุคคลที่คนใกล้ตัวของทักษิณ ชินวัตร คงหนาว ๆ ร้อน ๆ ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจในการตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมืองในรัฐบาลชุดก่อนและสามารถอายัดทรัพย์ไว้ก่อนได้ หากเห็นว่าทรัพย์เหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการได้มาในทางที่ไม่สุจริตของนักการเมืองคนนั้น ซึ่งรวมไปถึงญาติและบุตร
สำหรับเป้าหมายใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้นธุรกิจในเครือของตระกูลชินวัตร ที่แม้จะขายหุ้นทั้งหมดให้กับเทมาเส็ก จากสิงคโปร์ไปตั้งแต่ 23 มกราคม 2549 แต่เรื่องดังกล่าวยังไม่มีท่าทีจะจบลงง่าย ๆ โดยเฉพาะเรื่องสัดส่วนของผู้ถือหุ้นต่างประเทศที่เข้าข่ายเกินข้อกำหนด เนื่องจาการเข้าซื้อในครั้งนี้มีการใช้นอมินีคนไทยเข้ามาถือหุ้นแทนในบริษัทกุหลาบแก้ว ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ให้ความเห็นเบื้องต้นว่าเข้าข่ายนอมินี
การเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลรักษาการของพรรคไทยรักไทยเมื่อค่ำของวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา ซึ่งในวันรุ่งขึ้นคือ 20 กันยายนทางคณะปฎิรูปฯ ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการทั้งของธนาคารพาณิชย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
SC อนุมัติทั้งวันหยุด
แต่ในวันดังกล่าว(20 ก.ย.)กลับพบว่าบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SC กลับมีการประชุมกรรมการบริษัทในเวลา 10.00 น. ที่อาคารชินวัตร 3 ซึ่งคณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ซื้อที่ดินบริเวณถนนสามัคคีจังหวัดนนทบุรี จำนวน 11 ไร่ 1 งาน 81.7 ตารางวา เป็นเงิน 84.07 ล้านบาท
การซื้อขายในครั้งนี้เป็นการซื้อขายระหว่างบริษัท เอสซี แอสเสท ซึ่งเป็นธุรกิจของตระกูลชินวัตรที่ไม่ได้ขายให้กับเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ กับบริษัท เอสซี ออฟฟิซ ปาร์ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของตระกูลชินวัตรที่ถือหุ้นในบริษัทนี้ 99.99% โดยเสนอซื้อที่ตารางวาละ 18,350 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมินจากผู้ประเมินอิสระที่ 21,228.62-21,849.17 บาทต่อตารางวา
"หากมองในแง่ธุรกิจแล้ว การขายที่ดินในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมินถือเป็นผลดีกับบริษัท ทำให้ได้ต้นทุนในการพัฒนาที่ดินได้ถูกลง ช่วยให้บริษัทมีกำไรได้มากขึ้นหากมีการขึ้นโครงการในพื้นที่ดังกล่าว"
แต่ในอีกด้านหนึ่งคือ แม้จะมีการขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมินจากผู้ประเมินอิสระ แต่การขายที่ดินระหว่างกันของผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน ถือเป็นการถ่ายสินทรัพย์ระหว่างกันหรือไม่ แน่นอนว่าผู้ขายซึ่งเป็นบุคคลในตระกูลชินวัตรรับเงินแน่ ๆ 84 ล้านบาท หากเป็นสถานการณ์ปกติคงไม่มีอะไร แต่ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมือง เนื่องจากตระกูลชินวัตรที่มีทักษิณ ชินวัตร เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลที่ผ่านมา ถูกกล่าวหาจากคณะปฎิรูปการปกครองฯ ว่าส่อเค้าทุจริตและตั้งทีมงานตรวจสอบขึ้นมา
ดังนั้น การขายในครั้งนี้จึงดูเหมือนเป็นการรีบเร่งดำเนินการเพื่อให้ธุรกรรมนี้เสร็จสิ้นไป แม้ว่าจะประชุมในการกรรมการในการซื้อขายเมื่อ 17 กรกฎาคม 2549 แต่กลับอนุมัติกันในวันที่ 20 กันยายนหลังจากการยึดอำนาจเพียงไม่กี่ชั่วโมง และในวันดังกล่าวเป็นวันที่คณะปฎิรูปฯ กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ
แก้สัดส่วนต่างชาติเกิน
ถัดมาในวันที่ 2 ตุลาคมบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SHIN ได้ทำการซื้อหุ้นในบริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด ต่อจากดีบีเอส แบงก์ ลิมิเต็ด(DBS) ในสัดส่วน 24.69% โดยให้เหตุผลว่า เป็นไปตามเงื่อนไขที่สอดคล้องกับสัญญาระหว่างกันของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย และเอื้อให้แคปปิตอล โอเค ได้ประโยชน์จากกลุ่มบริษัทชิน คอร์ป ได้อย่างเต็มที่
เดิมแคปปิตอล โอเค เป็นการร่วมทุนระหว่างชิน คอร์ปกับดีบีเอส แบงก์ ในสัดส่วน 60:40 ที่ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ต่อมาได้มีการเพิ่มทุนอีกเป็น 4,050 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนของดีบีเอส แบงก์ เหลือเพียง 24.69% โดยการซื้อหุ้นต่อจากดีบีเอส แบงก์ ในครั้งนี้เสนอซื้อที่ราคา 66.50 บาทต่อหุ้นเป็นเงิน 665 ล้านบาท จากราคาที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เท่ากับว่าดีบีเอส แบงก์ขายขาดทุน 335 ล้านบาทขาดทุนไปหรือ 33.5%
อย่างไรก็ตามเนื่องจากดีบีเอส แบงก์ เป็นธนาคารพาณิชย์ของสิงคโปร์ที่เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ 28% เท่ากับการขายครั้งนี้ เป็นการจัดโครงสร้างของแคปปิตอล โอเค กันใหม่ ทำให้ชิน คอร์ปถือหุ้นโดยตรง 99.99% ลดข้อครหาเรื่องสัดส่วนของนักลงทุนต่างประเทศในแคปปิตอล โอเค ได้ระดับหนึ่งหากผลของการตีความเรื่องบริษัทกุหลาบแก้วที่มาซื้อหุ้นชิน คอร์ป นั้นไม่เป็นตัวแทนของนักลงทุนต่างประเทศในชั้นศาล
การปรับโครงสร้างดังกล่าว กลุ่มชิน คอร์ป ภายใต้การถือหุ้นใหญ่ของเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้แล้วนั่นคือ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด เจ้าของสายการบินต้นทุนต่ำแอร์เอเชีย ที่ร่วมกับมาเลเซีย โดยได้มีการตั้งบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัดและสิทธิชัย วีระธรรมนูญ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในไทยแอร์เอเชียแทน เพื่อแก้ปัญหาสัดส่วนของผู้ถือหุ้นต่างประเทศที่ถือเกินกว่ากฎหมายกำหนด
ปันผลเหนือกำไร
ไม่เพียงแค่การโยกทรัพย์ปรับโครงสร้างของกลุ่มชินวัตรและเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ เท่านั้น ที่ผ่านมาก่อนมีการยึดอำนาจการปกครองบริษัทในเครือชินคอร์ป ได้มีการจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งปี 2549 ค่อนข้างผิดสังเกตุ
เริ่มจากบริษัท ชินคอร์ปที่เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ถือหุ้นใหญ่ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการ 6 เดือนงวดการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 ถึง 30 มิถุนายน 2549 ในอัตราหุ้นละ 1.30 บาท คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 4,153.99 ล้านบาท ขณะที่กำไรงวด 6 เดือนแรกของปี 2549 มีเพียง 3,824.89 ล้านบาทหรือกำไรต่อหุ้นเพียง 1.26 บาทต่อหุ้น
นั่นเท่ากับว่าบริษัทนำกำไรทั้งหมดมาจ่ายเป็นเงินปันผล ซึ่งยังไม่พอ จึงได้นำเงินในกำไรสะสมที่มีอยู่เดิมอีก 329 มาจ่ายปันผล
ถัดมาบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2549 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2549 ในอัตราหุ้นละ 3.00 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 8,857.65 ล้านบาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 2,952,548,589 หุ้น ขณะที่กำไรงวดครึ่งปี 2549 อยู่ที่ 9,415.38 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.19 บาท
ดังนั้นการจ่ายเงินปันผลของ ADVANC ที่อัตรา 3 บาทต่อหุ้นเท่ากับเป็นจ่ายจากกำไรที่สามารถทำได้ในครึ่งแรกของปี 2549 ถึง 94%
ต่อมาบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CSL คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสม ตามที่ปรากฏในงบดุล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2549 ในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 375 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทครึ่งแรกของปี 2549 อยู่ที่ 111.19 ล้านบาทหรือ กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.18 บาท
เท่ากับกำไรที่ได้มาทั้งหมดในครึ่งปีแรกถูกนำมาจ่ายเป็นเงินปันผลทั้งหมด แถมยังดึงเอากำไรสะสมมาจ่ายเพิ่มอีกกว่า 263 ล้านบาท เป็นรูปแบบเดียวกับชิน คอร์ปที่จ่ายปันผลสูงกว่ากำไรที่สามารถทำได้
เจตนาเผ่น
"เรื่องนี้หากมองเผิน ๆ อาจจะดูว่าไม่ผิดปกติอะไร เพราะที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งก็ใช้วิธีการจ่ายเงินปันผลสูงกว่าผลการดำเนินงานที่สามารถทำได้ โดยนำเอากำไรสะสมที่ผ่านมาจ่ายให้กับผู้ถือหุ้น" โบรกเกอร์รายหนึ่งกล่าว
แต่การจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นด้วยการนำเอากำไรสะสมมาจ่าย ถือว่าไม่ใช่เรื่องดีนัก สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากหากมีการจ่ายปันผลในลักษณะนี้ต่อเนื่องกันย่อมทำให้กำไรสะสมของบริษัทลดลง ซึ่งเป็นเป็นผลดีนักต่อภาพลักษณ์ของบริษัท นอกจากนี้ยังสามารถตีความได้ว่าผู้ถือหุ้นอาจมีเจตนาที่ไม่ดีกับบริษัท เช่น ต้องการถ่ายเงินออกไป และไม่ต้องการดำเนินธุรกิจต่อ
แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีข้อห้าม แต่เชื่อว่าหากนักลงทุนเห็นพฤติกรรมในลักษณะนี้ของผู้บริหารบริษัท คงไม่อยากเข้าไปลงทุนในบริษัทเหล่านี้เพราะไม่แน่ใจในเรื่องเจตนาของผู้บริหารและผู้ถือหุ้น(หากเป็นกลุ่มเดียวกัน)ว่า ไม่ต้องการดำธุรกิจอีกต่อไปหรือไม่ หรือต้องการถ่ายทรัพย์สมบัติออกให้มากที่สุดก่อนหาคนมาซื้อต่อ
|