Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน3 ตุลาคม 2549
คลัง-ปตท.-พันธมิตรฮุบทีพีไอ..ฟันกำไร 100,000 ล้าน!             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
โฮมเพจ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย (TPI) - ทีพีไอ
โฮมเพจ กระทรวงการคลัง

   
search resources

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย, บมจ.
ปตท., บมจ.
กระทรวงการคลัง
Chemicals and Plastics
Energy




คณะกรรมาธิการการปกครองวุฒิสภา ที่มี พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย เป็นประธาน นับเป็นอีกองค์กรหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในการเข้าไปล้วงลึกความไม่ชอบมาพากลในการเข้ามาเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีไอ ของคณะผู้บริหารแผนฯ จากตัวแทนของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นของทีพีไอทีได้รับความเสียหายจากการบริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมให้คณะกรรมาธิการการปกครองเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง!

โดยเฉพาะในประเด็นที่กระทรวงการคลังได้รับ “ใบสั่ง” จากระบอบทักษิณให้ “เข้ายึดกิจการทีพีไอ” ผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการ เห็นได้จากการเปิดทางให้พันธมิตรของกระทรวงการคลังเข้าฮุบกิจการทีพีไอไปอย่างมีวาระซ่อนเร้น ทั้งปตท. กองทุนวายภักษ์1 กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และธนาคารออมสิน ตลอดจนกลุ่มเจ้าหนี้ทีพีไอ โดยเสนอซื้อหุ้นทีพีไอในราคาถูกชนิดเหมาเข่งในราคา 3.30 บาทต่อหุ้น

ขณะที่กลุ่มถือหุ้นเดิมทีพีไอเสนอซื้อในราคา 5.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะสามารถระดมเม็ดเงินจากข้อเสนอของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมได้กว่า 100,000 ล้านบาท หรือสามารถนำเงินไปโละหนี้จากเจ้าหนี้รายเดิมกว่า 100 รายได้ทั้งหมด แต่กระทรวงการคลังกลับแสดงจุดยืน โดยมีเจตนาซ่อนเร้นไม่โปร่งใสว่า “ไม่ขายผู้ถือหุ้นเดิม”

ในช่วงนั้นเป็นที่รู้กันดีว่า มีความเคลื่อนไหวผิดปกติทั้ง “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ขุนคลังในสมัยนั้นและ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีที่ถูกโค่นอำนาจลง ได้วิ่งล็อบบี้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลจีน เพื่อสกัดไม่ให้กลุ่มซิติก ซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านการลงทุนของรัฐบาลจีนและเป็นพันธมิตรของผู้ถือหุ้นเดิมทีพีไอ ไม่ให้การสนับสนุนเงินทุนกับ “ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” หรือกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อนำไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่ทีพีไอในวงเงินกว่า 100,000 ล้านบาท

ทั้งนี้เป้าหมายที่เด่นชัดที่สุดของระบอบทักษิณที่เข้ายึดทีพีไอ ซึ่งเปรียบเสมือนการยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัว โดยนัดแรกจะเป็นการยืมมือกระทรวงการคลังและพันธมิตรเข้ามาฮุบกิจการทีพีไอ หลังจากนั้นจะเตรียมผ่องถ่าย "หุ้นหรือกิจการทีพีไอ" ไปให้กับกลุ่มทุนของ "นายใหญ่" ที่ได้ขายทิ้งธุรกิจสื่อสารที่มีการแข่งกันและการลงทุนในอนาคตในวงเงินสูงลิ่ว และหุ้นส่วนหนึ่งของทีพีไอได้เตรียมใส่พานประเคนให้กับกลุ่ม “ทุนจากสิงคโปร์” เนื่องจากสิงคโปร์ไม่ต้องการให้อาณาจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแสนล้านอย่างทีพีไอ “ฟื้นตัว” เพื่อแข่งขันกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของสิงคโปร์ ส่วนนัดที่สอง ถือว่ามีเป้าหมายเด่นชัดในการขจัดหอกข้างแค่ทางการเมืองอย่าง "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" ให้พ้นเส้นทางของผลประโยชน์แสนล้านของทีพีไอ!

ปตท.-พันธมิตรเข้ายึดทีพีไอ ฟันกำไร 100,000 ล้าน

สำหรับแนวทางการฟื้นฟูกิจการทีพีไอตามสูตรของกระทรวงการคลัง ได้ประกาศใช้แผนหักดิบกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมทีพีไอหรือกลุ่มของ “ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” ทันที หลังจากสกัดไม่ให้กลุ่มซิติกทุ่มเม็ดเงินกว่า 100,000 ล้านบาท เข้ามาช่วยเหลือกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมได้อยู่หมัด โดยคลังเดินหน้าเปิดเกมหักดิบกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมทีพีไอด้วยการ “ลดทุน” พร้อม “ลดพาร์” จาก 10 บาท เหลือเพียง 1 บาท โดยอ้างว่าเพื่อล้างขาดทุนสะสม จากนั้นก็เพิ่มทุนเข้าไปใหม่ จากจำนวน 7,849 ล้านหุ้น เป็น 19,500 ล้านหุ้น

ซึ่งตามแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอฉบับแก้ไข ทีพีไอจะออกหุ้นใหม่ จำนวนกว่า 11,651 ล้านหุ้น เมื่อรวมกับหุ้นเดิมของเจ้าหนี้ (จากการแปลงหนี้เป็นทุนไปก่อนหน้านี้) ทั้งหมดที่ต้องโอนกลับมาให้คลังอีกกว่า 5,899 ล้านหุ้น จะมีการนำหุ้นไปกระจายให้กับพันธมิตรใหม่จำนวนรวม 17,550 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 90% ของทุนใหม่ 19,500 ล้านหุ้น ขณะเดียวกันหุ้นในส่วนของผู้ถือหุ้นเดิม จะเหลือเพียง 1,950 ล้านหุ้นหรือเท่ากับ 10% ของหุ้นทั้งหมด 19,500 ล้านหุ้น ซึ่งจากสูตรการฟื้นฟูกิจการทีพีไอของคลัง โดยการลดทุนในครั้งนี้ ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมเสียหายอย่างยับเยิน!

หลังจากนั้นคลังได้ตัดแบ่งเค้กก้อนโตของทีพีไอ ด้วยการจัดสรรหุ้นให้กับพันธมิตรใหม่ โดยกระจายให้ลิ่วล้อ ไล่จาก ปตท.ในสัดส่วน 31.5 % กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ในสัดส่วน 10% กองทุนวายุภักษ์1 ในสัดส่วน 10% ธนาคารออมสิน ในสัดส่วน 10% กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ในสัดส่วน 20% และกลุ่มเจ้าหนี้ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ ในสัดส่วน 8.5%

จุดที่น่าสังเกตเมื่อรวมสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มทุนใหม่ของทีพีไอตามสูตรของกระทรวงการคลังแล้ว พบว่า พันธมิตรใหม่ของคลัง ทั้งปตท. กบข. กองทุนวายุภักษ์1 และธนาคารออมสิน ได้กลายเป็นถือหุ้นใหญ่ของทีพีไอในสัดส่วนรวมกันถึง 61.5% จึงเกิดคำถามตามมาว่า สถานะของทีพีไอภายใต้การเข้ายึดกิจการจากกระทรวงการคลังและพันธมิตรชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้ทีพีไอซึ่งเป็นกิจการของเอกชนถูกหน่วยงานรัฐเข้ายึดเรียบร้อยโรงเรียนคลังไปแล้ว

มิพักต้องพูดถึงสถานะของทีพีไอในปัจจุบันได้กลายเป็น “หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ” ไปโดยปริยาย ทั้ง ๆ เป็นการ “สวนทาง” กับนโยบายของระบอบทักษิณในช่วงนั้น ที่ได้เร่งคลอดนโยบายแปรสภาพหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งกฟผ. อสมท.และทอท. เป็นต้น ขณะที่กรณีทีพีไอกลับส่งลิ่วล้อที่เป็นหน่วยงานของรัฐเข้ามาถือหุ้นรวมกันในสัดส่วนถึง 61.5% จนทีพีไอกลายร่างจากกิจการ “เอกชนเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ” ไปแล้ว ซึ่งเปรียบเสมือนหน่วยงานของรัฐเข้ายึดครองกิจการของเอกชน ที่ไม่เคยมีที่ไหนเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศที่ปกครอบในระบอบประชาธิปไตยโลกกลม ๆ ใบนี้ ยกเว้นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์เท่านั้น ที่หากต้องการยึดกิจการของเอชนก็ยึดได้เลย

ในที่สุดข้อเท็จจริงก็ถูกเปิดเผย โดยเฉพาะคำถามจากสังคมไปถึงกระทรวงการคลังที่ระบุว่า “เจตนาของคลังและพันธมิตรแสดงให้เห็นชัดว่า ต้องการเข้ายึดกิจการทีพีไอ” ชนิดโจ่งครึ่ม เพราะภายหลังจากที่กลุ่มพันธมิตรของกระทรวงการคลัง ทั้งปตท. กบข. กองทุนวายุภักษ์1ธนาคารออมสินและกลุ่มเจ้าหนี้ได้เข้ายึดกิจการทีพีไอจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมในราคา 3.30 บาทต่อหุ้น และกลุ่มพันธมิตรได้ชำระค่าหุ้นทีพีไอไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2548 ที่ผ่านมา

มีข้อเท็จจริงที่สังคมไทยต้องรู้ก็คือ พันธมิตรของกระทรวงการคลังสามารถบันทึกกำไรจากการเข้าลงทุนหรือเข้ายึดกิจการทีพีไอ ตามราคาหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทันที โดยเฉพาะราคาหุ้นทีพีไอเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2548 หรือถัดจากวันที่กลุ่มพันธมิตรของคลังจ่ายเงินค่าหุ้นทีพีไอเพียง 1 วัน (ปัจจุบันราคาหุ้นทีพีไอเคลื่อนไหวอยู่ที่ 6-8 บาทต่อหุ้น) ซึ่งในวันนั้น (14 ธ.ค. 2548) ราคาหุ้นทีพีไอปิดที่ 7.15 บาทต่อหุ้น

เห็นได้ชัดว่า ปตท.ได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของทีพีไอจำนวน 5,850 ล้านหุ้น ในราคา 3.30 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 31.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยปตท.ใช้วงเงินทั้งสิ้น 19,305 บาท แต่วันที่ 14 ธันวาคม 2548 ราคาหุ้นทีพีไออยู่ที่ 7.15 บาท ทำให้มูลค่าเงินลงทุนที่ปตท.ใส่ลงไปเพิ่มขึ้นเป็น 41,827.5 ล้านบาท ส่งผลให้ปตท.สามารถบันทึกกำไรตามราคาตลาดฯ ได้ทันทีถึง 22,522.5 ล้านบาท (อ่านว่า “สองหมื่นสองพันห้าร้อยยี่สิบสองจุดห้าล้านบาท)

ส่วนพันธมิตรรายอีก 3 รายของคลัง ทั้งกบข. กองทุนวายุภักษ์1 และธนาคารออมสิน ที่ซื้อหุ้นทีพีไอในสัดส่วนรายละ 10% หรือ 1,950 ล้านหุ้น โดยใช้เงินลงทุนรายละ 6,435 ล้านบาท แต่หากคิดมูลค่าหุ้นทีพีไอตามวันดังกล่าว จะอยู่ที่ตัวเลข 13,942.5 ล้านบาท หรือฟันกำไรทันทีรายละ 7,507 ล้านบาท (อ่านว่าเจ็ดพันห้าร้อยเจ็ดล้านบาท) สอดรับกับการให้สัมภาษณ์ของ “วิสิฐ ตันติสุนทร” เลขาธิการคณะกรรมการ กบข. ที่ออกมาระบุอย่างลิ่งโลดใจว่า “กบข.ได้ใส่เงินซื้อหุ้นทีพีไอจำนวน 6,435 ล้านบาท ทำให้กบข.มีกำไรจากการบันทึกทางบัญชีทันทีกว่า 7,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 100 %!!" โอ้พระเจ้า..การเข้ายึดกิจการทีพีไอของลิ่วล้อของระบอบทักษิณ ชั่งฟันกำไรได้ง่ายได้เสียจริง!

นอกจากนี้ พันธมิตรของกระทรวงการคลัง ยังฟันกำไรจากการเข้ายึดกิจการทีพีไออีกหลายเด้ง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีหรือธุรกิจด้านพลังงาน กำลังอยู่ในยุคบูมสุดขีดและกลายเป็นธุรกิจดาวรุ่งพุ่งแรง ทำให้พันธมิตรของกระทรวงการคลัง และยังไม่นับรวมกับกลุ่มเจ้าหนี้ที่เข้ามารับจัดสรรแบ่งเค้กก้อนโตของทีพีไอในสัดส่วน 8.5% จึงฟันกำไรจากการเข้ายึดกิจการทีพีไอดันจนพุ่งปลิ้น

โดยเฉพาะการฟันกำไรจากโอกาสของธุรกิจทางด้านปิโตรเคมีและธุรกิจทางด้านพลังงานในอาณาจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทีพีไอ ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาทที่สามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอื่น ๆ ทั้งท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ของทีพีไอ โรงกลั่นที่ครบวงจรและทันสมัยที่สุดในเอเซียอาคเนย์ นิคมอุตสาหกรรมทีพีไอกว่า 5,000 ไร่ และหุ้นที่ทีพีไอไปลงทุนไว้ในบริษัทที่ทำธุรกิจด้านปิโตรเคมีและด้านพลังงานต่าง ๆ เช่น หุ้นของบริษัททีโอซีฯ ที่มีมูลค่าหลายพันล้านบาท เป็นต้น

จากการปฏิบัติการที่คลังและพันธมิตรเข้า “ปล้นกลางแดด” และชุบมือเปิบเข้ายึดกิจการทีพีไอในครั้งนี้ ถือว่าเป็นปฏิบัติการปิดประตูขาดทุน ตรงกันข้ามจะมีแต่กำไรมหาศาลอย่างเดียว เนื่องจากปัจจุบันหากคลังหรือพันธมิตรจะควักกระเป๋าลงทุนโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่เช่นเดียวกับอาณาจักรปิโตรเคมีแสนล้านอย่างทีพีไอ จะต้องใช้วงเงินลงทุนมหาศาล 200,000-300,000 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงปัญหาในการจัดหาพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ติดชายทะเลและปัญหาเรื่องการต่อต้านทางด้านสิ่งแวดล้อมอีกต่างหาก

แฉคลังจัดสรรหุ้นทีพีไอโดยไม่มีอำนาจ!

คณะกรรมาธิการการปกครองวุฒิสภา ยังได้ตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลของ “การใช้อำนาจของกระทรวงการคลัง” ในการนำพาพันธมิตรเข้ายึดกิจการทีพีไอนั้น “ไม่ชอบด้วยกฎหมายและที่สำคัญคลังไม่มีอำนาจในการจัดสรรหุ้นทีพีไอให้กับพันธมิตรใหม่” เนื่องจากมีคำถามชวนสงสัยว่า กระทรวงการคลังอาศัยอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติตามกฎหมายใดในการ “จัดสรรหุ้นให้พันธมิตรร่วมทุนใหม่” ทั้งนี้พิสูจน์ชัดว่า กระทรวงการคลังเป็นนิติบุคคลของรัฐ และปลัดกระทรวงการคลังอย่าง “ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล” ประธานคณะทำงานและเจ้าหน้าที่คณะทำงานเข้ายึดกิจการทีพีไอ ต่างก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งการดำเนินการใดๆ นั้น จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ จะทำการนอกเหนือจากอำนาจของกฎหมายที่ให้ไว้หรือคลังจะทำตามอำเภอใจไม่ได้

เพราะหากพิจารณาศาลล้มละลายกลาง มีอำนาจแต่งตั้งกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนได้หรือไม่ จะเห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ในส่วนฟื้นฟูกิจการ “ไม่มีบทบัญญัติใดๆ ห้ามไว้” แต่มีคำถามว่า กรณีเมื่อศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งแต่ตั้งกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนแล้ว คลังสามารถดำเนินการหรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้บริหารแผนได้หรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้มีข้อควรพิจารณาคือ คำสั่งของศาลล้มละลายกลาง ผูกพันกระทรวงการคลังและต้องปฏิบัติตามหรือไม่ จะเห็นว่า ไม่ผูกพันกระทรวงการคลัง ดังนั้น กระทรวงการคลังจะไม่รับเป็นผู้บริหารแผนก็ได้ ทั้งนี้เนื่องจากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ระบุชัดว่า คำสั่งศาลจะผูกพันเฉพาะคู่ความเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นชัดว่า “กระทรวงการคลังไม่ใช่คู่ความในคดีฟื้นฟูกิจการของทีพีไอ”

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังในฐานะนิติบุคคล ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการตามมาตรา10 แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พุทธศักราช 2545 มีได้ระบุ “ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจในการบริหารจัดการกิจการและทรัพย์สินของเอกชนในฐานะผู้บริหารแผน ซึ่งจะเนินการเป็นผู้บริหารแผนได้หรือไม่ โดยหลักแห่งกฎหมายดังกล่าว ฟันธงได้ว่า กระทรวงการคลังไม่สามารถเป็นผู้บริหารแผนได้ แต่หากคลังจะดันทุรังทำต่อไป จะต้องไปทำการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พุทธศักราช 2545 ในมาตรา 10 ในส่วนของวัตถุประสงค์ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามหลักที่ว่า นิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่หรือวัตถุประสงค์ตามบทบัญญัติหรือกำหนดไว้ในกฎหมาย ข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง (ป.พ.พ.มาตรา66)

โดยสรุปแล้ว เห็นได้ชัดว่า กระทรวงการคลังภายใต้ระบอบทักษิณ ได้ฝ่าฝืนข้อบัญญัติทางกฎหมายหลายเรื่อง แต่ที่คลังยังดันทุรังตั้งผู้บริหารแผนฯและเข้ายึดกิจการทีพีไอดังกล่าวนั้น ถือว่าเป็นการลุแก่อำนาจและก้มหน้าก้มตารับใช้ระบอบทักษิณ จนกระทั่งละเลยความถูกต้องและความชอบธรรม ตลอดจนการบริหารงานที่คลังประกาศเป็นนโยบายมาตลอดว่า ให้หน่วยงานต่าง ๆ บริหารงานโดยการยึดหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) แต่คลังกลับบริหารงานแบบมีวาระซ่อนเร้นในการเข้ายึดกิจการทีพีไอ และถึงนาทีนี้จะต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” นายกรัฐมนตรีคนใหม่ชนิดถอดด้าม ที่มีภาพของเรื่องความ “ซื่อสัตย์และให้ความเป็นธรรมกับสังคม” เป็นเครื่องการรันตีว่า จะเข้ามาให้ความชอบธรรมกับทีพีไออย่างไร!   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us