ถ้าเป็น 4-5 เดือนที่แล้ว มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ คงมีเวลาว่ายน้ำ ออกกำลังกายที่โรงแรมสุโขทัย
ริมถนนสาทร เป็นกิจกรรมยามว่าง ที่เขาทำเป็นประจำได้มากกว่านี้ แต่เพราะงานประจำที่รัดตัว
ทำให้สมาชิกประจำอย่างมิ่งขวัญต้องว่างเว้นกิจกรรมที่เขาตั้งใจจะทำจนแก่
มาแล้วหลายเดือนเต็ม
"หยุดว่ายน้ำมา 4 เดือนกว่าๆ แล้ว" มิ่งขวัญบอก กับ "ผู้จัดการ" หลังจากลงจากรถโตโยต้า
Lexus สีดำคันหรู รถประจำตำแหน่งผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. ที่บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ส
มอบให้เป็นโบนัส
หลังเลิกงานที่บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ส เขาจะดิ่งตรงมาที่นี่เพื่อว่ายน้ำออกกำลังกาย
ทำให้สถานที่แห่งนี้ไม่เพียง เป็นที่ใช้ออกกำลังกายประจำทุกเย็น ยังถูกใช้เป็นสถานที่
นัดหมายบุคคลต่างๆ ช่วงข้อต่อระหว่างสมัครเข้าเป็น ผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท.
ที่เขาเป็นตัวเต็งหนึ่ง
"ก่อนจะเข้าเป็นผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. ผมไปที่นี่ทุกวัน ช่วงนั้นผมต้องพูดคุยกับคนเยอะมาก"
มิ่งขวัญบอกถึงสถานที่ ที่มีความหมายต่อการตัดสินใจของเขา ไม่ว่าเขาจะเดินไปไหน
พนักงานของโรงแรมยกมือไหว้ตลอดทาง เพราะส่วนใหญ่จะรู้จักเขาเป็นอย่างดี
แต่หลังจากขึ้นรับตำแหน่งผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. ที่ได้กำหนดเป้าหมายไว้ชัดเจนในการพลิกโฉมหน้าใหม่ให้สถานีโทรทัศน์ช่อง
9 ให้กลายเป็นสถานีแห่งความทันสมัย หรือ Modernine เวลาที่หมดไปกับการทำงานที่แข่งกับเวลา
ทำให้ เขาไม่มีเวลามากนัก แต่ยังแวะเวียนมาบ้างเป็นครั้งคราว
"ผมทำงานตลอด 7 วัน เร็วที่สุดของผมคือ กลับบ้าน 5 ทุ่มครึ่ง แต่มาตรฐานเท่ากันบางวันตี
1 ตี 2" มิ่งขวัญบอกถึงความทุ่มเทตลอดช่วง 4 เดือนกว่าๆ ของการเข้าไปทำงานใน
อ.ส.ม.ท. ที่มีเป้าหมายชัดเจน
นอกจากงานใหม่ที่เขาต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการพลิกฟื้นสถานีโทรทัศน์แห่งนี้แล้ว
มิ่งขวัญอยู่ระหว่างตกแต่งบ้านหลังใหม่ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี
บ้านหลังนี้ เป็นบ้านจัดสรรในหมู่บ้านปัญญา ถนนพัฒนาการ ที่มิ่งขวัญซื้อต่อมาจากเจ้าของเดิมที่สร้างเป็นบ้านสไตล์ยุโรป
ทุบทิ้งนำมาสร้างใหม่ ออกแบบตามสไตล์ Cottage การใส่ใจในรายละเอียด เขาคุยกับมัณฑนากรเป็นประจำ
แต่ด้วยภาระหน้าที่งานที่รัดตัว ดูแลงานตกแต่งภายในได้เฉพาะแค่เสาร์และอาทิตย์กำหนดเสร็จจึงล่วงเลยมาปีกว่า
แม้จะไม่ใช่บ้านหลังแรก เพราะเขามีบ้านที่ซื้อทิ้งไว้อีก 4 หลัง แต่ที่มาของบ้านหลังนี้ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลายอย่างในชีวิต
มิ่งขวัญพูดถึงบ้านหลังนี้อย่างมีความสุข แม้จะไม่เปิดเผยมากนัก แต่ก็บอกความพิเศษของบ้านหลังนี้ไม่ได้อยู่ที่สระว่ายน้ำ
ซึ่งขณะนี้เสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้ใช้งาน แต่เป็นผนังสีขาวหลังคาสูงโปร่ง ที่เขาตั้งใจออกแบบให้เป็นแกลลอรี่
และห้องอาหารเช้า และเย็น ถูกแยกที่แยกสัดส่วนออกจากกัน แม้ว่าเขาไม่ขอเปิดเผยถึงจำนวนเนื้อที่
และราคาของบ้าน แต่น่าจะคาดเดาถึงความพิเศษ ได้ไม่ยาก
"บ้านไม่ได้สวย แต่เป็นเรื่องเป็นราว เวลานี้มีคนมาขอใช้บ้านเป็นที่เดินแฟชั่น
ศิลปินบางคนขอเปิดบ้านแสดงรูปวาด" มิ่งขวัญบอก
บุคลิกส่วนตัวของมิ่งขวัญ มีความอ่อนโยนสูง วัย 50 ปีที่ยังเป็นโสดของเขา
พิถีพิถันเรื่องการแต่งกายเป็นพิเศษ มิ่งขวัญ เชื่อว่า นี่คือการลงทุนอย่างหนึ่งของเขา
กับอาชีพที่ต้องพบปะผู้คน รสนิยมการเลือกเสื้อผ้าเป็นเรื่องจำเป็น สีของชุดสูทที่ต้องเข้ากันได้กับสีของรองเท้า
เข็มขัด ไม่น่าแปลกที่เขาจะมีเนกไทอยู่มากมาย ผูก 6 เดือนได้ไม่ซ้ำกัน แต่เขาย้ำว่า
ไม่จำเป็นต้องเป็นแบรนด์เนมจากต่างประเทศ
"ไม่จำเป็นต้องเป็นของต่างประเทศ ถ้าสวย และชอบก็ซื้อ" แต่วันที่พบกับ
"ผู้จัดการ" เนกไทเส้นที่ใช้อยู่ในวันนั้นเป็นเส้นที่ซื้อมาจากประเทศอิตาลี
และเสื้อเชิ้ตซื้อมาจากกรีก
อย่างไรก็ตาม การทำงานอยู่ในบริษัทข้ามชาติ ญี่ปุ่น ที่ไม่ได้ให้อำนาจกับคนใดคนหนึ่ง
อย่างเต็มที่ และเมื่อเข้ามาอยู่ในราชการ ทำให้มิ่งขวัญระมัดระวังในการพูดจา
และไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงมากนัก
มิ่งขวัญ เป็นศิษย์เก่าจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มชีวิตการทำงานครั้งแรกในแผนกการตลาดที่บริษัทโตโยต้า
มอเตอร์ส ประเทศไทย เบื้องต้นเขาตั้งใจทำงานเพียงแค่ปีเดียว เพื่อเก็บเงินไปเรียนต่อปริญญาโทต่างประเทศ
และมีความหวังว่าจะร่ำเรียนไปถึงระดับดอกเตอร์ แต่เขากลับปักหลักอยู่ที่นี่ถึง
21 ปีเต็ม
10 ปีครึ่งของการอยู่ในแผนกการตลาด เป็นช่วงเวลาของการบ่มเพาะวิชาความรู้
ทำให้มิ่งขวัญเข้าใจภาพของธุรกิจ และการตลาด และการเรียนรู้ความคิดของผู้คน
จากการพบปะกับเจ้าของเอเย่นต์รถจำนวนมากมาย อันเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในตำรา
"เอเย่นต์รถบางคนจบเบิร์กเลย์ บางคนแทบไม่มีความรู้ แต่ทุกคนมีวิธีคิดบางอย่างที่บอกว่า
เจอคนแบบนี้ เราต้องเป็นแบบนี้ เราได้ไปเจอไปฟังอะไรเยอะมาก ต้องนับว่าเป็นช่วงบ่มเพาะความรู้การตลาดอย่างแท้จริง"
บทพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดเจน ก็คือ การที่เขาถูกเลือกให้เป็นพนักงานยอดเยี่ยมด้านการตลาด
เป็นใบเบิกทางชั้นเยี่ยมของการไต่เต้าในองค์กรธุรกิจลักษณะนี้
แต่ก้าวที่เป็นจุดเปลี่ยนและกลายเป็นบันไดหกให้กับ เขา คือ การได้รับทาบทามจากรองประธานบริษัทโตโยต้า
มอเตอร์ส ที่เป็นชาวญี่ปุ่นให้ย้ายจากแผนกการตลาดไปดูงานด้านประชาสัมพันธ์
ซึ่งเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วนั้นเป็นเพียงแค่แผนกเล็กๆ มีพนักงาน 4 คน เทียบไม่ได้กับแผนกฝ่ายการตลาดและขายที่เป็นหัวหอกหลักของธุรกิจ
แน่นอนว่าหลายคนอาจเลือกที่จะปฏิเสธ
"ผมไปคิด 3 วัน ปรึกษารุ่นพี่ๆ ไม่มีใครเห็นด้วย เพราะบริษัทรถยนต์เวลานั้นแผนกการตลาดใหญ่มาก
แผนกประชาสัมพันธ์แทบไม่มีใครรู้จัก" แต่มิ่งขวัญกลับเลือกที่จะย้าย "คิดแล้วว่าอยู่การตลาดได้ความรู้
แต่อยู่ที่ฝ่ายประชา สัมพันธ์ผมได้เจอผู้คน เป็นการเปิดโลกออกไป"
การตัดสินใจของเขาในครั้งนั้น ถือเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญ เพราะเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมรถยนต์ของเมืองไทยกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
อันเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจ ขาขึ้น กำลังซื้อของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนจำนวนคู่แข่งย่อมมากไปด้วย การทำตลาดด้วยวิธีคิดใน รูปแบบเดิมๆ ในภาวะที่ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น
เช่น แคมเปญ ลดแลกแจกแถมไม่เพียงพออีกต่อไป จำเป็นต้อง ก้าวเข้าสู่การตลาดแนวใหม่
ที่เป็นเรื่องของการสร้าง brand image และ product image สร้างความจดจำให้กับตัวสินค้า
และองค์กร เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับคู่แข่งในตลาด
และนี่เอง ทำให้มิ่งขวัญมีโอกาสเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับ การเปลี่ยนแปลงในเชิงความคิดของการบริหารจัดการ
สมัยใหม่ ในองค์กรข้ามชาติอย่างโตโยต้า ซึ่งเป็นช่วงที่คำว่า brand image
ยังเป็นเรื่องใหม่ในสังคมธุรกิจของเมืองไทย ในยุคนั้น
หลังจากใช้เวลาศึกษางาน 2 เดือนเต็มในแผนกประชา สัมพันธ์ สิ่งที่เขาเลือกทำเป็นลำดับแรกคือ
ทำความรู้จักกับสื่อมวลชน "การรู้จักนักข่าวสำคัญที่สุด ถ้าคุณไม่มีคนรู้จัก
คุณไม่มีวันได้ลงข่าวแน่ ถามผู้จัดการคนเก่า ปกติส่งไป 10 ได้ลง 2 ข่าวก็ดีแล้ว"
แทนการเดินสายไปแนะนำตัวต่อสื่อมวลชนทีละฉบับ มิ่งขวัญเลือกจัดงานแถลงข่าวแนะนำตัวเอง
ต่อหน้าสื่อมวลชนจำนวนมาก ซึ่งเขาได้วิธีคิดมาจากการเปิดตัวศิลปินนักร้อง
ปรากฏว่า วิธีคิดของเขาได้ผล เพราะหลังจากเปิดตัวในครั้งนั้น ชื่อของมิ่งขวัญเริ่มเป็นที่รู้จักทั่วไปกับสื่อมวลชน
เป็นความสัมพันธ์อันดีที่เขารักษาไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย และนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้จักถึงคำว่า
"ทำอะไรแล้วก็ตามต้องทำให้ดังด้วย"
ความสามารถในการทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการตลาด ที่ถูกทำขึ้นภายใต้กิจกรรมและแคมเปญต่างๆ
สายสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อมวลชน ที่มิ่งขวัญสามารถถ่ายทอดภาพลักษณ์ขององค์กร
และผลิตภัณฑ์ให้โดดเด่นขึ้น ทำให้ภาพของการเป็นนักประชาสัมพันธ์ของเขาเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
ตามการเติบโตของยอดขายโตโยต้าในไทย แคมเปญที่ประสบความสำเร็จ และได้รับผลตอบรับในระดับกว้างอยู่ในช่วงที่เขาเข้าเป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิ
โตโยต้า ประเทศไทย เริ่มโครงการบริจาคหนังสือมือสอง ทำใน รูปแบบเดียวกับแคมเปญรถยนต์
โดยนำเอากลยุทธ์การตลาดและโฆษณา เข้ามาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในแง่เครือข่ายรับบริจาค
การชักจูงใจให้บริการ เช่นเดียวกับโครงการถนนสีขาว
การพิสูจน์ฝีมือด้านเดียวย่อมไม่ได้ ธุรกิจมีขึ้นย่อมมีลง ผลงานที่ทำให้มิ่งขวัญได้รับการยอมรับในฐานะของผู้บริหาร
จึงเป็นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ที่มิ่งขวัญถูกส่งให้มากู้สถานการณ์ การตกต่ำของโตโยต้าที่หล่นวูบ
จาก 5 แสนกว่าคัน เหลืออยู่เพียงแค่ 1.4 แสนคัน ซึ่งเขาสามารถผลักรถโตโยต้าเพิ่มขึ้น
34.2% ได้เป็นผลสำเร็จ
เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขากระโดดข้ามขั้นจากผู้อำนวยการฝ่าย ไปเป็นกรรมการบริหารโดยไม่ต้องเป็นกรรมการสมทบก่อน
นอกจากเป็นสิ่งที่เขาภูมิใจมากๆ แล้ว ยังทำให้เขามีโอกาสเรียนรู้งานในระดับการบริหารองค์กร
ที่ทำให้เขาได้ใช้ประโยชน์ในเวลาต่อมา
นอกเหนือจากงานประจำที่ทำอยู่ในบริษัทโตโยต้าแล้ว มิ่งขวัญยังมีธุรกิจส่วนตัวหลายประเภท
ซื้อรถบรรทุกรับจ้างขนหินดินทรายขายให้กับหมู่บ้านจัดสรร ทำธุรกิจขายเพชรรัสเซีย
ซึ่งทำ รายได้ให้เขามากกว่างานประจำ
แต่ธุรกิจที่เข้ากันได้ดีกับความเป็นนักประชาสัมพันธ์ และตัวตนของเขาก็คือ
ธุรกิจปั้นดารา ที่ทำมา 20 กว่าปีแล้ว นอกจากจะสร้างความมั่งคั่งให้กับเขา
ยังทำให้เขาเป็นเจ้าของฉายา "Image maker" และกลายเป็นเจ้าของผับชื่อ ท็อกซิก
ที่โด่งดัง มากๆ ของวัยรุ่นขาเที่ยว เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว
"ในเมื่อผมขายรถยนต์ได้ตั้งเยอะแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผมจะมาขายคน
เพราะไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ สบู่ ยาสีฟัน หรือคน ก็มีวิธีคิดของการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่แตกต่างกัน
เป็นงานอดิเรกที่ทำเงินให้ผมมาก ดารารู้จักเกือบทุกคน ผมเคยนั่งดูโทรทัศน์
กดรีโมตไป ดาราที่ผมปั้นขึ้นมา เล่นชนกับเกือบทุกช่อง" มิ่งขวัญเปิดเผยถึงที่มาของการขยับจากการสร้างภาพพจน์รถยนต์มาเป็น
"คน" ที่มาจากความสำเร็จในการสร้างยอดขายให้กับ โตโยต้า บวกกับการได้อ่านหนังสือของฟรานซิสฟอท
คอร์ปโปล่า ผู้สร้าง the outsider
วิลลี่ แมคอินทอช, คัทลียา แมคอินทอช, จอห์นนี่ แอน โฟเน่, ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง,
วรุฒ วรธรรม, ดอม เหตระกูล, ปีเตอร์ คอปไดเรนดอน คือ ส่วนหนึ่งของผลงานการเป็นผู้ปั้นดารา
ที่มี ชื่อเสียงและรายได้เป็นการันตี
ธุรกิจนี้ โดยใช้วิธีคิดของการสร้างภาพพจน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ชื่อเสียงของความเป็น
image maker ของเขายิ่งเด่นชัดมากขึ้นในอีกมิติหนึ่ง
แต่ผลงานที่สร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักในระดับกว้างมากยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือ
เข้าไปช่วยงาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยว
ด้วยแคมเปญที่เขาถนัด งานเย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์ เทศกาลตรุษจีนที่เยาวราช
เทศกาลดนตรีที่พัทยา ที่เขานำมาใช้อย่างเห็นผล นับเป็น การเพิ่มประสบการณ์ในมุมกว้าง
ที่ได้ประสานงานกับหน่วยงานจำนวนมาก และความสัมพันธ์ในระดับลึก ที่ยังไม่ชัดเจนมากนัก
แต่ก็เป็นก้าวสำคัญของการขยับเข้าสู่การบริหารองค์กรในระดับรัฐวิสาหกิจ ที่เป็นเจ้าของสื่อโทรทัศน์
วิทยุ ย่อมมีความหมายมากกว่าการเป็นนักการตลาด และประชาสัมพันธ์เหมือนที่แล้วมา
"ผมคิดว่าผมพอแล้ว หาเงินได้ตั้งเยอะแล้ว ถึงเวลาที่จะเอาประสบการณ์ชีวิตมาทำประโยชน์ให้ประเทศ
คิดไว้ตั้งแต่ 4-5 ปีที่แล้วว่า อยากไปทำงานที่สร้างภาพพจน์ให้กับประเทศชาติ
ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ยังไม่มีหน่วยงานดูแลชัดเจน"
เมื่อมีเป้าหมายชัดเจน วันเซ็นสัญญารับตำแหน่งในวันที่ 17 กรกฎาคม 2544
เป็นวันที่มิ่งขวัญเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เขาใช้เวลาศึกษางานของ อ.ส.ม.ท.
นอกจากงานวิจัยจำนวนมากแล้ว แผนวิสาหกิจตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้าย
4 เดือนนับจากวันนั้นคือ กำหนดการ kick off ของการแปลงโฉมสถานีโทรทัศน์ช่อง
9 ไปสู่ความเป็นโมเดิร์นไนน์ทีวี ที่ต้องปรากฏโฉมใหม่สู่สาธารณชน
เป็น 4 เดือนที่มีความหมายในการเรียนรู้ของมิ่งขวัญ แม้ว่าเขาจะเรียนรู้พลังของสื่อโทรทัศน์
ใช้ประสบการณ์การตลาดในเชิงรุก สร้าง และการปรุงแต่งช่องรายการให้มีสีสัน
แต่สิ่งที่มิ่งขวัญต้องเรียนรู้คือ เนื้อหา เป็นประสบการณ์ใหม่ที่เขายัง
ต้องเรียนรู้ต่อไป