บิ๊กควอลิตี้เฮ้าส์ฯ ยอมรับรายได้ปีนี้ต่ำกว่าเป้าที่คาดจะเติบโต 15% เหตุได้รับผลกระทบจากการปฎิรูปการปกครองฯ ยันแผนเปิด 11 โครงการในครึ่งปีหลังยังเดินหน้าต่อไป ระบุเน้นกลุ่มระดับกลางที่มีความต้องการสูง พร้อมคาด Gross Profit Margin ครึ่งปีหลังใกล้เคียงครึ่งปีแรกที่ 25%
นางสุวรรณา พุทธประสาท กรรมการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เปิดเผยแนวโน้มรายได้ในปี 2549 ว่า อาจมีอัตราการเติบโตไม่ถึง 15% จากเดิมที่เคยคาดว่ารายได้จะเติบโตประมาณ 15% ซึ่งเป็นระดับที่ได้มีการปรับไปแล้วจากก่อนหน้านี้ ที่คาดว่ารายได้จะมีการเติบโตประมาณ 20% ซึ่งปี 2548 บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 8,042.01 ล้านบาท โดยปัจจัยที่เข้ามากระทบนั้น ทางผู้บริหารอ้างว่า เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้กำลังซื้อชะลอตัวลงจากเดิมที่ได้มีการชะลอตัวมาในระดับหนึ่งแล้ว และจากภาวะดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
"รายได้ทั้งปีอาจลดลงไม่เกิน 15% เนื่องจากดีมานด์ชะลอตัวลง และเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติด้วย ซึ่งก็น่าจะได้รับผลกระทบ ขณะที่อัตรากำไรเบื้องต้น ในช่วงครึ่งปีหลัง จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งแรกที่ผ่านมาประมาณ 25% เนื่องจากมีการเร่งปิดโครงการใหม่ ทำให้สามารถรับรู้รายได้มากขึ้น ส่วนโครงการเก่าได้ทยอยรับรู้รายได้เช่นกัน" นางสุวรรณา กล่าว
อย่างไรก็ดี สำหรับแผนเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยยังไม่ได้มีการเลื่อนหรือชะลอการเปิดโครงการออกไป เนื่องจากเป็นโครงการประเภททาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวระดับกลาง ซึ่งยังเป็นสินค้าที่มีความต้องการอยู่ ทั้งนี้ โครงการใหม่ 11 โครงการประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์ 3 โครงการ และบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในงวด 6 เดือนแรกของปี 49 บริษัทมียอดสะสมของรายได้จำนวน 4,062.5 ล้านบาท (ส่วนของรายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดิน งวด 6 เดือนอยู่ที่ 2,874.5 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปี 48 มีรายได้ 3,072.3 ล้านบาท ลดลง 6.4%) เทียบกับงวดเดียวกันของปี 48 มีรายได้สะสม 3,667.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 395.2 ล้านบาท หรือประมาณ 10.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 48 ขณะที่เฉพาะไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้รวม 2,050.3 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 2,091.5 ล้านบาท ลดลง 41.2 ล้านบาทหรือคิดเป็น 2%
|