หลังความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของ iPod ในการเปลี่ยนพฤติกรรมการฟังเพลงจากยุคของวิทยุทรานซิสเตอร์และโซนี่วอล์กแมนมาสู่ยุคของ iPod แอปเปิลกำลังใช้ iPod ตัวนี้ ในการเปลี่ยนพฤติกรรมการชมรายการโทรทัศน์ และภาพยนตร์ของคนทั่วโลกครั้งใหญ่ ซึ่งวงการโทรทัศน์และวงการภาพยนตร์ ถือว่าเป็นภาคส่วนของวงการบันเทิงที่มีเม็ดเงินมหาศาลหมุนเวียนอยู่ โดยเฉพาะเม็ดเงินจากวงการโฆษณาซึ่งเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงวงการบันเทิงที่สำคัญมาก
แอปเปิลจะทำสำเร็จหรือไม่ มีปัจจัยหลากหลายที่รอการค้นหาคำตอบอยู่
ปัญหาในปัจจุบันก็คือ แอปเปิลจะจัดการอย่างไรกับรายการสด แม้จะมีรายงานล่าสุดจากวอชิงตันโพสต์ว่า แอปเปิลกำลังจะเริ่มขายภาพยนตร์ยาวๆ ออนไลน์เพื่อเปิดดูผ่านเครื่อง iPod ในไม่ช้านี้แล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันยังมีเพียงดิสนีย์และสตูดิโอในเครือของดิสนีย์เท่านั้น (อย่างมิราแม็กซ์, พิกซาร์ และทัชสโตน) ที่ขายภาพยนตร์ผ่าน iTunes ซึ่งก็มีภาพยนตร์อย่าง Pirates of the Caribbean, Scary Movie และ Finding Nemo แต่ล่าสุดแอปเปิลก็กำลังจะได้พันธมิตรรายใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา แต่พันธมิตรเหล่านี้ก็ยังเป็นรายเล็กๆ อยู่
ในขณะที่รายใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นยูนิเวอร์แซลและวอร์เนอร์ บราเธอร์ ยังไม่ได้เข้าร่วมกับ iTunes ในช่วงต้นนี้ เนื่องจากประเด็นเรื่องราคาขายภาพยนตร์ที่ยังไม่คุ้มค่านักและขาดความหลากหลาย
เดือนตุลาคมปีที่แล้ว แอปเปิลเพิ่งเพิ่มบริการดาวน์โหลดวิดีโอรายการโชว์ทางโทรทัศน์และรายการกีฬาให้กับ iTunes ซึ่งก็ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จพอสมควร อย่างรายการซีรี่ส์ Lost ซึ่งดังมากของสถานี โทรทัศน์ ABC ก็มียอดดาวน์โหลดถึง 3 ล้าน ครั้งผ่าน iTunes ในขณะที่แอปเปิลยังต้องเผชิญกับประเด็นลิขสิทธิ์ดิจิตอลที่ยังทำให้แอปเปิลยังไม่สามารถจัดการเกี่ยวกับบริการดาวน์โหลดวิดีโอใน iTunes ได้มากพอ
แม้ยอดขายเพลงดิจิตอลผ่าน iTunes รวมถึงบริการอื่นๆ จะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมเพลงที่ต้องผจญกับการลักลอบดาวน์โหลดกันอย่างผิดกฎหมายรวมถึงการทำซีดีเถื่อน ในขณะที่ราคาซีดีเพลงก็ยังแพงอยู่มากนั้น ทางแอปเปิลเองก็ยังกล้าๆ กลัวๆ เกี่ยวกับการแตกไลน์สินค้าเพลงดาวน์โหลด 99 เซ็นต์ให้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งทำให้ค่ายเพลงหลายๆ เจ้าต้องผิดหวังไป
นอกจากนี้แผนการตลาดสินค้าภาพยนตร์ของแอปเปิลยังต้องเผชิญกับการต่อต้านจากฮอลลีวูดด้วยเช่นกัน โดยยักษ์ใหญ่หลายๆ เจ้าก็ไม่ยอมเซ็นสัญญาเพื่อขายภาพยนตร์ของตนผ่านทางบริการของ iTunes โดยสาเหตุที่สำคัญอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ สตูดิโอ ภาพยนตร์และโทรทัศน์หลายต่อหลายเจ้าสามารถสร้างรายได้หลายพันล้านเหรียญสหรัฐ จากการขายดีวีดีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยทุกวันนี้พวกเขาสามารถสร้างรายได้จากดีวีดีมากกว่าจากการฉายตามโรงภาพยนตร์ ซึ่งเคยเป็นแหล่งรายได้หลักไปแล้วด้วยซ้ำ นั่นทำให้พวกเขาไม่อยากจะไปทำให้รายได้ที่ไหลมาเทมาต้องสะดุดชะงักไปจากการขายภาพยนตร์ออนไลน์แทน นอกจากนี้ พวกเขายังอยากจะให้การขายภาพยนตร์ออนไลน์มีการกำหนดราคาที่หลากหลายมากกว่าการกำหนดราคาเดียวเหมือนการดาวน์โหลดเพลงของแอปเปิล
ที่สำคัญแผนการของแอปเปิลกำลังจะสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่างสตูดิโอในฮอลลีวูดกับยักษ์วงการค้าปลีกอย่างวอลมาร์ต ซึ่งขายดีวีดีปีละหลายล้านแผ่นซึ่งมองว่าการก้าวเข้ามาวงการภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ของแอปเปิลเป็นการคุกคามที่สำคัญยิ่ง นั่นทำให้นักวิเคราะห์หลายๆ คนมองว่าสตูดิโอส่วนใหญ่คงจะไม่ร่วมมือกับแอปเปิลในช่วงแรก แต่อาจจะเข้าร่วมในตอนหลังได้
ยิ่งไปกว่านั้น วอลมาร์ตยักษ์ใหญ่วงการค้าปลีกเองก็อยู่ในช่วงของการเจรจากับสตูดิโอภาพยนตร์ และบริษัททางด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการนำเสนอบริการดาวน์โหลดภาพยนตร์ออนไลน์ของพวกเขาเอง ซึ่งจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของแอปเปิลอย่างแน่นอน
ที่สำคัญ บริการดาวน์โหลดวิดีโอของแอปเปิลก็มีข้อจำกัดเรื่องขนาดโดย iPod สามารถรองรับรายการโทรทัศน์หรือรายการกีฬาใดๆ ขนาดความยาวครึ่งชั่วโมงและหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น iPod ขนาดใหญ่สุดมีพื้นที่เก็บข้อมูลขนาด 60 กิกะไบต์ ซึ่งสามารถเก็บเพลงได้ 15,000 เพลงหรือภาพวิดีโอ 150 ชั่วโมง แต่สำหรับภาพยนตร์ซึ่งมีความยาวประมาณ 2 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งก็ต้องการฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ขึ้นกว่านี้ซึ่งหมายความว่าแอปเปิลคงจะออก iPod รุ่นใหม่ที่สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับขนาดหน้าจอของ iPod ปัจจุบันซึ่งมีขนาดเพียง 2.5 นิ้ว ซึ่งเล็กเกินไปสำหรับการชมภาพยนตร์ยาวๆ ก็ทำให้คาดหมายได้อย่างแน่นอนว่า iPod เวอร์ชั่นที่มีหน้าจอใหญ่ขึ้นก็จะออกมาในไม่ช้า โดย iTV เป็นอีกหนทางหนึ่งในการนำภาพยนตร์จาก iPod มาฉายบนจอขนาดใหญ่ขึ้น
แม้แอปเปิลจะทำเงินได้เพียงน้อยนิดจากการขายเพลง โดย 70 เซ็นต์ต่อเพลง จะตกเป็นของค่ายเพลงและเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่ที่ผ่านมาแอปเปิลก็สามารถใช้ iTunes ในการเพิ่มยอดขายของ iPod ซึ่งมีราคา 399 เหรียญสหรัฐ โดยแอปเปิลสามารถขายเครื่อง iPod ได้ถึง 8 ล้านเครื่องในสองไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งคิดเป็นยอดขายที่เติบโตเพิ่มขึ้น 32 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ไม่นานมานี้ สตีฟ จ็อบส์ เพิ่งเปิดตัว iTV ซึ่งเป็นเครื่องเล่น iTunes สำหรับดูภาพยนตร์, รายการโชว์, เพลง, รายการวิทยุ (ในรูปของ podcast Pod-casting มาจาก iPod (ซึ่งเป็นเป็นเครื่องเล่นเพลงจากค่ายแอปเปิลที่มีชื่อเสียงมาก) กับ Broadcasting โดยคำว่า Podcasting จะใช้กับไฟล์ ออดิโอ (ไฟล์ประเภทเสียง) รวมถึงมิวสิกวิดีโอด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้จะดาวน์โหลดมาและเล่นบนเครื่องพีซี แต่ปัจจุบันจะถูกดาวน์โหลดมาไว้ในเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาและสามารถฟังที่ใดก็ได้ (เช่นเครื่อง iPod และเครื่องเล่น MP3)) รวมถึงภาพถ่ายความละเอียดสูงด้วย iTV จะถูกต่อเข้ากับโทรทัศน์จอยักษ์หรือโฮมเธียเตอร์ขนาดยักษ์ในบ้าน โดยดึงข้อมูลมาจากเครื่องพีซีหรือเครื่องแมคอินทอชที่ตั้งอยู่อีกห้องหนึ่งผ่านเครือข่ายแบบมีสายหรือไร้สายก็ได้ สำหรับผู้ชมก็นั่งอยู่บนโซฟาโดยมีรีโมตคอนโทรล สไตล์ iPod ซึ่งสามารถกดเลือกผ่านเมนูต่างๆ บนหน้าจอ โดยอาจจะเลือกซื้อรายการโชว์หรือภาพยนตร์จาก iTunes Store หรือรายการซีรี่ส์ ตอนใหม่ๆ หรืออาจจะเล่นซีดีหรือดีวีดีจากเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ได้เช่นกัน
iTV ที่แอปเปิลเปิดตัวมาล่วงหน้านี้ เป็นอุปกรณ์ set-top box ซึ่งจะวางตลาดในไตรมาสแรกของปี 2007 โดย iTV จะมีรูปร่างหน้าตา คล้ายๆ กับเครื่องแมคขนาดเล็กๆ ที่แบนราบและมีไฟในตัว, ช่อง USB, ช่องแลน, ช่องส่งสัญญาณแบบไร้สาย, สัญญาณเสียง รวมถึง HDMI โดยใช้รีโมตคอนโทรลควบคุม ซึ่งจะแสดงเมนูบนหน้าจอโทรทัศน์
แต่สิ่งที่ iTV จะไม่มีก็คือ มันไม่สามารถต่อเข้ากับเคเบิลทีวีได้ หรือปรับสัญญาณเพื่อรับช่องโทรทัศน์ทั่วๆ ไปได้ นั่นทำให้มันไม่สามารถ บันทึกรายการใดๆ ที่ส่งสัญญาณภาพกระจายออกมาได้ นั่นหมายความว่า ผู้ใช้ iTV ก็ต้องฝากความหวังไว้กับ iTunes Store ว่าจะมีให้ดาวน์โหลด
นอกจากนี้ iTV จะยังไม่วางตลาดจนกว่าจะถึงเดือนมกราคม และแอปเปิลยังมีการบ้านที่จะต้องไปทำให้ iTV มีดีมากกว่านี้ก่อนจะที่วางตลาดจริง เพราะอินเทลเคยสร้างความผิดหวังให้ผู้ใช้มาแล้วจาก Viiv platform ซึ่งวางตลาดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
คำถามก็คือ iTV จะมาเปลี่ยนแปลงวิถีการชมภาพยนตร์ของคนทั่วโลกได้หรือไม่ ซึ่งนักวิเคราะห์หลายๆ คนก็ยังเห็นว่า ถ้าดูตามประสิทธิภาพของ iTV ในปัจจุบันก็ไม่น่าจะมีผลต่อพฤติกรรมการชมภาพยนตร์ของคนทั่วไปได้ นอกจากนี้ iTV ยังดูอะไรไม่ค่อยได้มากด้วย รวมถึงคุณภาพของภาพก็ยังต่ำกว่าดีวีดี iTV ในปัจจุบันสามารถทำให้แฟนๆ ซีรี่ส์ Lost ดูรายการที่ดาวน์โหลดมาได้บนจอใหญ่ขึ้นเท่านั้น
ในขณะที่บางคนมองว่าอาจจะยังไม่จำเป็นต้องพยายามฉายรายการโทรทัศน์แบบออนไลน์เรียลไทม์ เพราะจริงๆ แล้วควรจะให้ความสำคัญกับบริการดาวน์โหลดภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ผ่านเครือข่ายบรอดแบนด์ในปัจจุบันมากกว่า นั่นคือ ไม่ต้องไปรอให้เทคโนโลยีก้าวล้ำถึงขั้นฉายรายการเรียลไทม์ได้แบบไม่สะดุด แต่ควรมีตัวเลือกในการดาวน์โหลดมากขึ้นดีกว่า เพราะการสะดุดแม้เพียงหนึ่งวินาทีก็แทบจะทำให้รายการเรียลไทม์ไร้ความหมายไปเลย เหมือนกับที่ iTunes ทำอยู่ขณะนี้กับบริการดาวน์โหลดเพลง
และถ้าสตูดิโอในฮอลลีวูดยอมเซ็นสัญญาขายภาพยนตร์ให้กับแอปเปิล ก็จะเกิดทางเลือกสองทางสำหรับวงการโทรทัศน์ให้กับพวกเรา ทางหนึ่งคือ ภาพยนตร์ความละเอียดสูงผ่านสายเคเบิลหรือแผ่นดีวีดี กับตัวเลือกภาพยนตร์จำนวนมหาศาลผ่านการดาวน์โหลด เพราะในสถานะปัจจุบันยังไม่มีทางเลือกไหนที่ดีกว่าอันไหน สองทางเลือกคงต้องอยู่ร่วมกันไปอีกพักใหญ่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับพวกเราเองว่าจะเลือกอะไรระหว่างการ นั่งบนโซฟาดูรายการ 500 ช่องผ่านเคเบิลทีวีกับการดาวน์โหลดภาพยนตร์ 500,000 เรื่องผ่าน iPod
การก้าวเข้ามาสู่วงการดาวน์โหลดภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ออนไลน์ของยักษ์ใหญ่หลายๆ เจ้ากำลังเป็นไปอย่างเข้มข้น ในขณะที่เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนความบันเทิงของพวกเขาก็กำลังพัฒนาอย่างเร่งด่วนเช่นกัน อนาคตของวงการโทรทัศน์และภาพยนตร์ จึงยังเป็นภาพรางเลือนที่คงต้องรอให้ฝุ่นตลบ จากการวิ่งเข้าตลาดเริ่มเจือจางลงไปก่อน เมื่อนั้นเราจะเห็นทางเลือกที่ชัดเจนมากขึ้น
อ่านเพิ่มเติม
1 Ahrens, F. (2006), "Apple Nears Deal for Feature Films on iPod," Washington Post, September 7, 2006, pg. D05.
2 Boutin, P. (2006), "Will Apple Change Television Forever?," Slate Online Magazine, September 13, 2006, http://www.slate.com/id/2149572?nav= navoa
3 ธวัชชัย อนุพงศ์อนันต์ (2549), "อเมซอน กับการแหย่เท้าเข้าสู่ธุรกิจเพลงและ ภาพยนตร์ดาวน์โหลด," นิตยสารผู้จัดการ ฉบับเดือนกันยายน 2549
4 Captain, S. (2006), "Forget YourTube," Slate Online Magazine, May 8, 2006, http://www.slate.com/id/2140930/
5 Boutin, P. (2006), "The Myth of the Living-Room PC," Slate Online Magazine, Aug 7, 2006, http://www. slate.com/id/2147258/?nav=navoa
6 Boutin, P. (2006), "The Big Picture," Slate Online Magazine, Jan 12, 2006, http://www.slate.com/id/2134223/ ?nav=navoa
7 Johnson, S. (2006), "An iPod for TV," Slate Online Magazine, Aug 22, 2006, http://www.slate.com/id/2148104/ ?nav=navoa
8 Viiv Platform, http://www.intel.com/ products/viiv/index.htm
|