นายชูเกียรติ ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการตลาด บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า ด้วยภาวะราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้านที่ทรงตัวและเริ่มมีแนวโน้มปรับลดลง จึงเป็นจังหวะที่เวลาเหมาะสมที่สุดสำหรับการตัดสินใจซื้อบ้าน โดยบริษัทฯได้เปิดการขาย 2 โครงการใหม่ บน 2 ทำเลทองให้แก่ผู้ซื้อบ้านได้พิจารณาเป็น 2 ทางเลือก ได้แก่ โครงการ กรีนพาร์ค ชวนชื่นซิตี้ บนถนนรามอินทรา กม.8 เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ขนาดพื้นที่ 34 ไร่ จำนวน 215 ยูนิต มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท โดยเป็นบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย ราคาเริ่มต้นเพียง 2.4 ล้านบาท โดยทางโครงการได้จัดโปรโมชันพิเศษตั้งแต่วันนี้ถึงเดือนต.ค.49 ด้วยของแถมมากมาย รวมมูลค่าเกือบแสนบาท ได้แก่ เครื่องปรับอากาศขนาด 18,000 BTU 1 เครื่อง, วอลล์เปเปอร์ทั้งหลัง, ถังเก็บน้ำบนดิน ขนาด 1,100 ลิตรพร้อมปั๊มน้ำ รวมทั้งจัดสวนรอบบ้านให้ฟรีอีกด้วย และพิเศษสุดในปีนี้คือ ฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์ซึ่งเราขอมอบให้แก่ลูกค้าที่รับโอนฯ ภายในปี 2549 เท่านั้น
สำหรับอีกหนึ่งโครงการ คือ ชวนชื่นเพชรเกษม 81 เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดติดถนนใหญ่ ซอยเพชรเกษม 81 และยังอยู่ใกล้กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ) โครงการดังกล่าวมีขนาดพื้นที่โครงการในเฟสแรก 39 ไร่ จำนวน 210 ยูนิต มูลค่าโครงการ 760 ล้านบาท โดยบ้านสร้างก่อนขายราคาเริ่มต้นเพียง 2.7 ล้านบาท สำหรับผู้จองบ้าน ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธ.ค.นี้ จะได้รับส่วนลด 2,000 บาท/ตารางวา, เครื่องปรับอากาศขนาด 18,000 BTU 1 เครื่อง, วอลล์เปเปอร์ทั้งหลังและถังเก็บน้ำพร้อมปั๊มน้ำ
นางสาวชุติมา ตั้งมติธรรม กรรมการ บริษัท มั่นคงเคหะการฯ กล่าวถึงแผนลงทุนโครงการใหม่ใน 2550 ด้วยปัจจัยการที่สนามบินสุวรรณภูมิจะเปิดใช้ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ ทำให้บริษัทเตรียมความพร้อมรับกำลังซื้อที่จะเข้าผ่องถ่ายเข้ามาในทำเลดังกล่าว โดยทางบริษัทจะเปิดโครงการใหม่จำนวน 3 โครงการ มีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าว มีทำเลอยู่ที่บริเวณรามอินทราและสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ 1 ใน 3 โครงการจะก่อสร้างเพื่อรองรับพนักงานของสนามบินสุวรรณภูมิด้วย
" คาดว่าในช่วงหลังน่าจะมีพนักงานของสนามบินสุวรรณภูมิหันมาหาที่อยู่บริเวณสนามบินมากขึ้น ก็เลยมี 1 โครงการที่ก่อสร้างเพื่อรองรับความต้องการตรงนั้น และในไตรมาสที่ 4 ก็คาดว่ายอดขายบ้านที่ทำเลสนามบินจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30%"นางสาวชุติมา กล่าว
ต่อกรณีที่คณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขยึดอำนาจการปกครอง เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายบ้านของบริษัทฯ เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้รุนแรง รวมทั้งผู้บริโภคยังคงมั่นใจในแบรนด์ของบริษัทฯ อีกด้วย
นางสาวชุติมา กล่าวถึงแนวโน้มของรายได้ตลอดปี 2549 ว่า คงจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2,371.62 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากโครงการชวนชื่นปิ่นเกล้า, โครงการชวนชื่นศรีนครินทร์ และโครงการชวนชื่นเพชรเกษม ส่วนในปี 2550 เตรียมงบสำหรับการซื้อที่ดินทั้งสิ้น 500 ล้านบาท เพื่อรองรับการเปิดโครงการใหม่ในปีหน้า
ก่อนหน้านี้ ทางบริษัทฯได้แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 โดยระบุว่า บริษัทฯรับรู้รายได้จากการขายและบริการ 383.07 ล้านบาทสูงขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาถึง 26.30% แต่ลดลง 36.37% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากยอดจองในปี 2549 ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านสั่งสร้างซึ่งต้องใช้เวลา 6-10 เดือนในการส่งมอบ จึงยังไม่สามารถรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 ประกอบกับในปีนี้ยอดลูกค้าที่ถูกปฏิเสธการให้สินเชื่อจากธนาคารสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมามาก ทำให้ต้องยกเลิกการจองและนำกลับมาขายใหม่ ทำให้ระยะเวลาการโอนกรรมสิทธิ์ไปตกอยู่ในครึ่งหลังของปี 2549 เป็นส่วนใหญ่ แตกต่างจากปีที่ผ่านมาซึ่งการรับรู้รายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอระหว่างไตรมาส ทั้งนี้ บริษัทฯ มียอดจองรอรับรู้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ประมาณ 1,200 ล้านบาท
ด้านบทวิเคราะห์แห่งหนึ่ง ระบุถึงแนวโน้มรายได้ของบริษัทฯปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2,250 ล้านบาท ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ 473 ล้านบาท แต่บทวิเคราะห์ยังระบุว่าในครึ่งปีหลัง ผลประกอบการของบริษัทเติบโตอย่างมาก เนื่องจากบริษัทฯมียอดขายรอโอนในครึ่งปีหลังจำนวนมากถึง 1,200ล้านบาท ซึ่งมากกว่ารายได้ในครึ่งปีแรกเกือบ 2 เท่า ขณะเดียวกันทางบริษัทฯยังมีแผนที่จะเร่งยอดรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลัง โดยเพิ่มสัดส่วนบ้านสร้างเสร็จก่อนขายจากประมาณ 30% ของยอดขายรวมในครึ่งปีแรก เป็น 50-60% ของยอดขายรวมในครึ่งปีหลัง
จากแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนของบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย ทำให้บริษัทฯมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อไปขยายงาน ยอดหนี้สินจึงเพิ่มเป็น 2,190 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายอดจองครึ่งปีแรกจะชะลอตัวเหลือเพียง 1,000 ล้านบาท แต่คาดว่ายอดจองจะดีขึ้นในครึ่งปีหลัง จากสถานการณ์การเมืองที่คลี่คลาย ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มนิ่ง และราคาน้ำมันที่เริ่มลดลง ประกอบกับบริษัทฯมีโครงการเปิดขายทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าเหลือขายรวม 5,270 ล้านบาท ในครึ่งปีหลังวางแผนจะเปิดอีก 4 โครงการมูลค่ารวม 2,720 ล้านบาท จะทำให้โครงการรวมเพิ่มเป็น 18 โครงการ นอกจากนี้ในช่วงเดือนที่เหลือ ทางบริษัทฯจะจัดโปรโมชันเพื่อกระตุ้นยอดขายในไตรมาส คาดว่าจะช่วยผลักดันยอดขายให้ดีขึ้นได้
|