|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างทบทวนตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีใหม่ ภายหลังที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เข้ามาควบคุมสถานการณ์ ทำให้มีการจัดทำงบประมาณปี 2550 มีความชัดเจนและรวดเร็วขึ้น
"ตัวเลขจีดีพีใหม่ของคลังจะอยู่ที่เท่าไหร่ ต้องรอการประเมินสถานการณ์ต่างๆ ก่อน แต่คาดว่าแนวโน้มดีขึ้น และจะมีการประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการก่อนเดือน พ.ย.นี้" นายสมชัยกล่าว
สำหรับประมาณการณ์เดิมของกระทรวงการคลัง คาดว่าจีดีพีปี 2549 อยู่ที่ 4.5% ส่วน ปี 2550 อยู่ที่ร้อยละ 4.25 เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา พล.ท.พลางกูร กล้าหาญ โฆษก คปค.กล่าวถึงตัวเลขจีดีพีปีนี้ว่าน่าจะสูงกว่า 4.5% เนื่องจากงบประมาณมีความชัดเจนและช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี สามารถเบิกจ่ายงบประมาณปี 2549 ได้ ก่อนงบฯ ปี 50 จะเริ่มในเดือนมกราคม 2550
"ถ้างบฯปี 50 ยังไม่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรหรือยังไม่ได้อนุมัติก็สามารถใช้งบฯของปี 49 ซึ่งสำนักงบประมาณก็ได้กำหนดตารางเวลาของกรอบนี้ไว้ ขอยืนยันว่ากรอบเวลาไม่มีข้อสงสัยที่จะเป็นปัญหาแต่ประการใด"
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้พื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยยังแข็งแกร่ง และหาก คปค.สามารถดำเนินการทุกอย่างได้ตามขั้นตอนที่กำหนด อาทิ การร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว การสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ ก็เชื่อว่าจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่มีต่อประเทศไทยดีขึ้น เพราะทุกอย่างมีความชัดเจนขึ้น โดยขณะนี้สถานการณ์การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุน และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเป็นปกติ
***รอรัฐบาลใหม่โยกย้ายขรก.คลัง
นายศุภรัตน์เปิดเผยถึงการโยกย้ายข้าราชการระดับซี 10 และซี 11 ของกระทรวงการคลัง ว่า จะต้องรอให้รัฐบาลชุดใหม่เป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) ได้ให้ไว้ ส่วนการสรรหาตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ อาทิ ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ ที่จะหมดวาระสิ้นเดือนกันยายนนี้ ให้ดำเนินการตามกระบวนการสรรหาต่อไป แต่สิ่งใดที่เป็นการตัดสินใจให้รอรัฐบาลชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่มีปัญหามากนัก เพราะคาดว่าจะจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้ภายในสัปดาห์หน้า
ส่วนการสรรหาคณะกรรมการบริหารบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT จะต้องรอให้รัฐบาลชุดใหม่เป็นผู้ตัดสินใจ รวมทั้งขึ้นอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของบมจ.อสมท
"ขณะนี้กระทรวงการคลังก็ได้เตรียมข้อมูลการดำเนินงานของกระทรวงที่ผ่านมา เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ เพื่อพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป" นายศุภรัตน์กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง เพื่อชี้แจงนโยบายทิศทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของคณะปฏิรูปฯ เมื่อวานนี้ (27 ก.ย.)
***จับตาหุ้นก่อสร้าง-รับเหมา
นายศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกรณีที่ คปค.ยืนยันว่าจะมีการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ในปี 2550 อย่างแน่นอนว่า หากเมกะโปรเจกต์ เกิดขึ้นจริง แน่นอนว่า หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนดังกล่าวย่อมได้รับประโยชน์ตามมา แต่ช่วงที่ผ่านมาราคาอาจจะตกไปบ้าง เนื่องจากนักลงทุนยังเป็นห่วงว่าภายหลังจากการปฏิรูปการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองฯ โครงการดังกล่าวอาจจะยกเลิกไปหรือยืดออกไปอีก
อย่างไรก็ตาม จากความชัดเจนที่ คปค.ออกมายืนยันแล้วว่าจะให้การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์เดินหน้าต่อไป เชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องรอการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อจาก คปค. ก่อน ซึ่งในส่วนรายละเอียดของโครงการเองก็ต้องรอดูด้วยว่าจะเดินตามนโยบายเดิมหรือไม่ เช่น โครงการรถไฟฟ้ายังเหลืออยู่กี่สาย หรือจะเดินหน้า 3 สายแรกต่อไปหรือไม่
ทั้งนี้ การที่หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการเมกะโปรเจกต์ ทั้งกลุ่มก่อสร้าง ผู้รับเหมา อาจจะมีผลประกอบการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้จะดีดรับรายได้ในอนาคตได้ เพราะกว่าจะมีการประมูลงานอย่างจริงจังคงจะใช้เวลาอีกสักพัก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาหุ้นในกลุ่มนี้ได้ขายรับไปบ้างแล้ว แต่อาจจะปรับขึ้นไม่รุนแรงมากนักถ้าเทียบก่อนเกินการปฏิรูปการปกครอง
"เชื่อว่าตลาดยังรอความชัดเจนของคณะระฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้าสานต่อว่าจะดำเนินงานต่อไปอย่างไร หรือจะลงทุนโครงการใดบ้าง ซึ่งคาดว่าในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้าคงจะมีความชัดเจนมากขึ้น"นายศุภกรกล่าว
สำหรับผลต่อเศรษฐกิจ นายศุภกรกล่าวว่า การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ มีผลดีต่อเศรษฐกิจอยู่แล้ว ซึ่งเห็นได้จากนโยบายของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในช่วงก่อนการปฏิรูปการปกครองที่ผ่านมา ก็นำการลงทุนในรถไฟฟ้าขึ้นมาหาเสียงด้วย
ส่วนพอร์ตการลงทุนของบลจ.เอ็มเอฟซี ก่อนหน้านี้มีการขายหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงการเมกะโปรเจกต์ออกไปส่วนหนึ่ง เนื่องจากราคาปรับตัวลดลงไป แต่ก็มีการกลับเข้าไปซื้อบ้าง ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มดังกล่าวอาจจะมีความผันผวนบ้างแต่ก็คงจะต้องมีอยู่ในพอร์ตการลงทุนบ้าง
|
|
|
|
|