|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
TIES เชื่อเทรดวันแรก 28 ก.ย.นี้ น่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีจากนักลงทุน ส่วนราคาเทรดวันแรกประเมินยาก ขณะที่ปัญหาการเมืองคลี่คลายจะส่งผลดี มั่นใจพื้นฐานแกร่ง เผยเตรียมประมูลใหม่สร้างโรงงานมูลค่า 2 พันล้านบาท ฟุ้งมีโอกาสลุ้นสูง คาดรู้ผล 1 พ.ย.นี้ ส่วนครึ่งปีหลังเข้าร่วมประมูลอีก 4 โครงการ วงเงิน 900 ล้านบาท คาดได้งาน 30% ขณะที่ปีนี้รายได้โต 20%
นายอัศวิน ชินกำธรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) (TIES) กล่าวว่าบริษัทจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 28 กันยายนนี้ หลังจากเลื่อนจากเดิมคือวันที่ 22 กันยายน เนื่องจากเกิดการปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งผู้บริหารมั่นใจว่าการเข้าเทรดวันแรกน่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีจากนักลงทุน
"ผมเชื่อว่าการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น และผลทางการเมืองที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทนัก เนื่องจากบริษัทเน้นการลงทุนภาคการผลิต และการเมืองแม้ว่าจะทำให้เศรษฐกิจต้องถอยบ้างเล็กน้อย แต่เทียบกับการเติบโตที่ดีหลังการเมืองมีทิศทางที่แน่นนอน น่าจะคุ้มกว่า" นายอัศวินกล่าว
ก่อนหน้านี้บริษัทได้ขายหุ้นหลังจากกำหนดวันเลือกตั้งแน่นอน และนักลงทุนที่ซื้อหุ้นจองไปแล้วคงรู้สึกไม่ดีหากต้องเลื่อนกำหนดการเข้าซื้อขายออกไปนานเกินไป ซึ่งเชื่อว่าการเข้าซื้อขายในเดือนนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีแล้ว พร้อมกับมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมน่าจะเติบโตได้ต่อเนื่องหลังจากนี้
"ราคาหุ้น TIES ที่จะทำการซื้อขายวันแรกในคงพูดยากว่าราคาหุ้นจะยืนเหนือจองได้หรือไม่ เพราะบริษัทต้องรอดูสถานการณ์ต่าง ๆ รอบด้าน ซึ่งบริษัทคงเปิดโอกาสให้นักลงทุนเป็นผู้ตัดสินใจ แต่บริษัทก็มั่นใจในเรื่องของพื้นฐานของบริษัทว่ามีความแข็งแกร่ง" นายอัศวินกล่าว
โดย TIES กระจาย 35 ล้านหุ้น แบ่งเป็นนักลงทุนบุคคลทั่วไป 55%, นักลงทุนสถาบัน 30% และผู้มีอุปการะคุณ 15% ซึ่งในส่วนของนักลงทุนสถาบันนั้น เป็นผลจากที่สถาบันหันมาลงทุนหุ้นตัวเล็กที่มีผลการดำเนินงานเติบโตและปันผลดี แทนการลงทุนในหุ้นตัวใหญ่ มีความมั่นใจในตัวบริษัทฯ และน่าจะเป็นการลงทุนในระยะยาวซึ่งตรงนี้จึงช่วยสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนได้ นอกจากนี้ผู้บริหารยังล็อก-อัพหุ้น 100% ด้วย
นายอัศวินกล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทว่า ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ ประมาณ 2 พันล้านบาท โดยรับรู้ไปแล้ว 1,200 ล้านบาท และที่เหลืออีก 600 ล้านบาท จะรับรู้ในไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ และส่วนที่เหลืออีกกว่า 500 ล้านบาทนั้น จะรับรู้รายได้ในปี 50 ซึ่งขณะนี้บริษัทได้เข้าประมูลงานใหม่ได้คืองาน SB FURNITURE งาน เอสเอฟ ซีนีมาร์ พัทยา คอนโดที่หัวหิน และคลับเฮ้าส์ โดยทั้ง 4 โครงการนี้มีมูลค่าประมาณ 900 ล้านบาท และหากชนะการประมูลดังกล่าว บริษัทจะรับรู้รายได้ประมาณ 20-30% โดยจะสรุปได้ในเดือนตุลาคมนี้ ขณะที่โดยปกติบริษัทจะได้รับงานประมาณ 30% ของงานที่เข้าประมูลทั้งหมด
สำหรับโครงการใหญ่ที่ TIES เตรียมเข้ายื่นประมูลและจะทราบผลได้ใน 1 พฤศจิกายนนี้ คืองานโครงการสร้างโรงงานให้กับลูกค้ารายเดิมที่ก่อนหน้านี้บริษัทเคยสร้างโรงงานเฟสแรกให้แล้วมูลค่า 500 ล้านบาท ส่วนโครงการเฟส 2 นี้จะมีมูลค่าโครงการถึง 2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการส่วนขยายเพิ่มจากเฟสแรก ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบและหาพันธมิตรเพื่อร่วมประมูล
นายอัศวินกล่าวถึงกรณีที่กระทรวงพาณิชย์เซ็น MOU ให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ชะลอการขยายสาขาเพิ่มนั้น ไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากบริษัทยังมีงานก่อสร้างอื่น ๆ ที่บริษัทยังสามารถขยายตัวได้ โดยจุดแข็งของบริษัทคือการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างงานโรงพยาบาล โดยขณะนี้ได้งานแล้ว 2 แห่ง และบริษัทเชื่อว่างานก่อสร้างโรงพยาบาลภาคเอกชนยังมีการขยายตัวอีกใน 3-5 ปีข้างหน้า
ขณะที่สัดส่วนรายได้ของบริษัท 50-60% มาจากการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และประมาณ 30% มาจากการศูนย์การค้าและโรงพยาบาล ซึ่งครึ่งแรกปีนี้บริษัทมีรายได้จากลูกค้าเก่าถึง 60% ขณะที่ปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ระดับ 20% และบริษัทจะพยายามรักษาตัวเลขกำไรสุทธิของปีนี้ให้ไม่ต่ำกว่า 4%
|
|
|
|
|