Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน27 กันยายน 2549
ชง ปปช.-สตง.เชือดคดี TPI             
 


   
www resources

โฮมเพจ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย (TPI) - ทีพีไอ
โฮมเพจ กระทรวงการคลัง

   
search resources

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย, บมจ.
กระทรวงการคลัง
ซินเนอจี้ โซลูชั่น, บจก.
ประชัย เลี่ยวไพรัตน์
ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา
ทนง พิทยะ
พละ สุขเวช
อารีย์ วงศ์อารยะ
มงคล อัมพรพิสิฏฐ์




คณะปฏิรูปการปกครองในระบบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค) ได้ประกาศชัดหลังเข้ายึดอำนาจจากระบอบทักษิณว่า “จะคืนความชอบธรรมให้กับประเทศไทย” ในทุกมิติปัญหาของสังคม โดยเห็นได้จากการประกาศให้ระบบกลไกขององค์กรอิสระในระบอบประชาธิปไตยหลายองค์กรเริ่มเดินเครื่องทำงานกันแล้ว ทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา และคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง ฯลฯ

หน้าที่หลักขององค์กรอิสระต่าง ๆ เหล่านี้คือ การเข้าไปตรวจสอบปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในแวดวงราชการและการฉ้อฉลของนักการเมือง แต่ที่ผ่านมาระบอบทักษิณได้เข้าแทรกแซงและการสกัดกลไกการทำงานขององค์กรอิสระดังกล่าวไม่ให้ขับเคลื่อน แต่หลังจากระบอบทักษิณถูกโค่นลง กลไกขององค์กรอิสระดังกล่าวถูกปลดล็อกและกำลังเดินหน้าเข้าไปตรวจสอบปัญหาการคอรัปชั่นและปัญหาความไม่ชอบธรรมในสังคมไทยแล้ว

โดยเฉพาะกรณีปัญหาของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีไอ ที่ปัจจุบันลิ่วล้อของระบอบทักษิณได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ไออาร์พีซี” กำลังถูกองค์กรแห่งความยุติธรรมต่าง ๆ เข้าไปตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลและความไม่ถูกต้องที่ถูกบิดเบือนโดยระบอบทักษิณ ทั้งคดีความต่าง ๆ ที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอหรือกลุ่มของประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีพีไอ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสถิตยุติธรรมหลายคดี คดีที่วุฒิสภา (สว.) ได้ยื่นฟ้องต่อปปช. และคดีที่ผู้ถือหุ้นเดิมทีพีไอร้องเรียนต่อผู้ตรวจการรัฐสภา ซึ่งคดีต่าง ๆ ดังกล่าวกำลังถูกองค์กรอิสระและศาลสถิตยุติธรรมขับเคลื่อน โดยมีเป้าหมายคืนความชอบธรรมให้กับทีพีไอแล้ว!

**ศาลอาญานัด 29 ก.ย.ฟังคำสั่ง..คดีลิ่วล้อทักษิณจ่ายเงินย้อนหลังให้บริษัทซินเนอจีฯ

ประเดิมคดีแรกสุดที่ศาลสถิตยุติธรรมจ่อคิวคืนความชอบธรรมให้กับทีพีไอ โดยเป็นคดีที่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และนายประทีป เลี่ยวไพรัตน์ ในฐานะโจทก์ ได้ยื่นฟ้องกระทรวงการคลังและพวก รวม 9 คน ต่อศาลอาญา (ถนนรัชดาภิเษก) ในข้อกล่าวหา “สั่งจ่ายเงินทีพีไอย้อนหลังให้กับบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด โดยผิดกฎหมาย” เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2549 ซึ่งจำเลยที่ 1 กระทรวงการคลัง จำเลยที่ 2 นายพละ สุขเวช จำเลยที่ 3 พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎฐ์ จำเลยที่ 4 นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา จำเลยที่ 5 นายอารีย์ วงศ์อารยะ จำเลยที่ 6 นายทนง พิทยะ จำเลยที่ 7 บริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด จำเลยที่ 8 นายศิริ จิระพงษ์ พันธ์ และจำเลยที่ 9 นายจุมพล ศานติพงษ์

สาระสำคัญของคดีดังกล่าวโจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 11 กรกฎาคม 2546 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2547 จำเลยที่ 1, 2, 3, 4, 5 และจำเลยที่ 6 ได้ร่วมกันจ่ายเงินของลูกหนี้ (ทีพีไอ) เกินกว่าที่ระบุไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการและก่อหนี้เพิ่ม รวมทั้งกระทำการใด ๆ โดยไม่จำเป็นและไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการทางการค้าตามปกติของลูกหนี้ อีกทั้งระหว่างวันที่ 11 กรกฎาคม 2546 ถึง 25 สิงหาคม 2546 จำเลยที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 8 และจำเลยที่ 9 ได้ร่วมกันดำเนินการก่อตั้งบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด โดยจำเลยที่ 7 และจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 6 ได้บังอาจร่วมกันอนุมัติให้ว่าจ้างจำเลยที่ 7(บริษัท ซินเนอจีฯ) ให้เป็นผู้บริหารดำเนินธุรกิจ การบริหารกิจการและทรัพย์สินของบริษัททีพีไอ โดยมีการจ่ายเงินจำนวน 35,896,774.09 บาท รวมทั้งภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัททีพีไอ โดยมอบให้จำเลยที่ 7, 8 และจำเลยที่ 9 ซึ่งถือว่าเป็นการจ่ายเงินย้อนหลัง ทั้ง ๆ ที่บริษัท ซินเนอจีฯ ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และยังเป็นการร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต!

ในคดีนี้มีความคืบหน้าล่าสุดคือ ศาลอาญา (ถนนรัชดาภิเษก) ได้นัดฟังคำสั่งในวันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2549 นี้เวลา 13.30 น. ซึ่งจะต้องจับตาด้วยใจระทึกว่าคำสั่งศาลฯ จะออกมาอย่างไร!

**สว.ฟ้องคดีอาญา“บิ๊กหมง”รุกคืบ ปปช.จ่อคิวชงสตง.เชือดแล้ว

คดีหรือเรื่องราวที่ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎฐ์ กับพวก ถูกฟ้องร้องและดำเนินการตามกฎหมายอีกคดีหนึ่งที่ชวนน่าติดตามก็คือ คดีที่สมาชิกวุฒิสภาได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญากับพล.อ.มงคล และพวก!

โดยมีสาระสำคัญคือ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2548 นายคำนวณ เหมาะประสิทธิ์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดอุตรดิตถ์ นายสนิท จันทรวงศ์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดอุบลราชธานี และนายบุญเลิศ ไพรินทร์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดฉะเชิงเทรา ในฐานะผู้ถือหุ้นทีพีไอ ได้เข้าพบพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับนายอารีย์ วงศ์อารยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ผู้ปฏิบัติงานแทนกระทรวงการคลัง ในการบริหารแผน ปรับปรุงแก้ไขแผนมอบหมายหรือว่าจ้างให้คณะบุคคลปฏิบัติตามแนวทางการฟื้นฟูกิจการที่กระทรวงการคลังเห็นชอบ

รวมถึงนายจุมพล ศานติวงศ์ และนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ กรรมการบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด ในความผิดฐานเบียดบังเอาทรัพย์สินของทีพีไอเป็นของตัวเองหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ในฐานะที่เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของทีพีไอตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2546 โดยได้ร่วมกันกระทำผิดในการทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของทีพีไอและประชาชนผู้ถือหุ้นทีพีไอ

ในคดีนี้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ซึ่งตามเอกสารร้องทุกข์ระบุว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2546 คณะผู้บริหารแผนตัวแทนของกระทรวงการคลัง โดยความเห็นชอบของ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ์ ได้มีการประชุมและอนุมัติว่าจ้างบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด โดยนายจุมแลและนายศิริให้จัดทำการปรับปรุงแผนบริการดำเนินภารกิจการบริหารกิจการและทรัพย์สินของทีพีไอและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ โดยว่าจ้างเดือนละ 20 ล้านบาท

แต่ข้อเท็จจริงบริษัท ซินเนอจีฯ ได้สมรู้ร่วมคิดกับกระทรวงการคลัง โดย ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้นและคณะผู้บริหารแผนฯที่มีพล.อ.มงคล อัมพรพิศิฎฐ์ เป็นประธาน ได้ทำใบแจ้งหนี้ค่าบริการดำเนินภารกิจการบริหารกิจการและทรัพย์สินของทีพีไอย้อนหลังเป็นระยะเวลาเดือนเศษคือ ระหว่างวันที่ 11 กรกฎาคม 2546 จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2546 เป็นเงินจำนวน 35,896,774.09 บาท ทั้งที่บริษัท ซินเนอจีฯ จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2546 อันเป็นการกระทำโดยมิชอบ!

หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2548 นายสนิท จันทรวงศ์ สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดอุบลราชธานี และนายบุญเลิศ ไพรินทร์ สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดฉะเชิงเทรา ในฐานะผู้ถือหุ้นทีพีไอและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการทีพีไอ ได้มอบอำนาจให้นายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ดำเนินคดีกับพล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎร์ ดร.ทนง พิทยะ และนายพละ สุขเวช ซึ่งคณะบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ปฏิบัติงานแทนกระทรวงการคลังในการเข้ามาบริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ และได้สมรู้ร่วมคิดและเห็นชอบร่วมกันในการว่าจ้างบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด พร้อมกันนี้คณะบุคคลดังกล่าวยังได้อนุมัติค่าตอบแทนให้กับคณะผู้บริหารแผนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบที่รับเงินที่มิควรได้จากภาคเอกชน!

ประกอบด้วย พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎร์ จำนวน 1 ล้านบาทต่อเดือน นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา นายพละ สุขเวช นายอารีย์ วงศ์อารยะและดร.ทนง พิทยะ รายละ 750,000 บาทต่อเดือน และคณะที่ปรึกษาคือ นายนิพัทธ พุกะณะสุต นายวิจิตร สุพินิจ นายวิเชียร วิริยะประสิทธิ์ และดร.วีรพงษ์ รามางกูร รายละ 200,000 บาทต่อเดือน

สำหรับความคืบหน้าล่าสุดในคดีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งเรื่องถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ซึ่งที่ผ่านมากลไกของคณะกรรมการปปช. ถูกระบอบทักษิณบล็อกไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่ล่าสุดคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ได้ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการปปช. 9 คน หรือที่เรียกกันว่า“เก้าอรหันต์” ที่มีนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธาน และที่สำคัญในคดีดังกล่าวได้ถึงมือปปช.แล้ว และพร้อมพิจารณาชงให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่มีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา เป็นผู้ว่าสตง. คืนความชอบธรรมให้กับทีพีไอแล้ว ซึ่งคดีนี้วงในระบุว่า โปรดติดตามชนิดอย่างกระพริบตา!

“ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา” รับลูก คืนความชอบธรรมให้ “ทีพีไอ”

ที่ผ่านมาองค์กรของคณะผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ถูกมองว่าเป็นเพียง “เสือกระดาษ” เพราะไม่มีบทบาทในการช่วยเหลือปัญหาทางสังคมตามเจตนารมณ์ที่ตั้งขึ้นมา และในข้อเท็จจริงบทบาทขององค์กรดังกล่าวถูกอิทธิพลทางการเมืองเข้าไปแทรกแซงอย่างหนัก ดังนั้นที่ผ่านมาจึงไม่มีผลงานเข้าตากรรมการมากนัก แต่ถัดจากวินาทีนี้องค์กรของ “คณะผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา”กำลังขยับและรับลูกกับความพยายามของทุกฝ่ายในการคืนความชอบธรรมให้กับสังคมกันแล้ว

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2549 ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของทีพีไอและนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐบาล โดยข้อร้องเรียนระบุสาระสำคัญว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมทีพีไอและนายประชัยไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการที่กระทรวงการคลังและตัวแทนจำนวน 5 คนคือ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎฐ์ นายพละ สุขเวช นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา นายอารีย์ วงศ์อารยะ และนายทนง พิทยะ ในการบริหารแผน ปรับปรุงแก้ไขแผน มอบหมายหรือว่าจ้างให้บุคคล คณะบุคคลปฏิบัติตามแนวทางการฟื้นฟูกิจการทีพีไอที่กระทรวงการคลังเห็นชอบ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากกระทรวงการคลังในการบริหารกิจการและทรัพย์สินของทีพีไอ

แต่ตัวแทนของกระทรวงการคลังปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและปฏิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถือหุ้นทีพีไอและนายประชัยโดยไม่เป็นธรรม ภายหลังที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของทีพีไอ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2549 อันทำให้กระทรวงการคลังหมดอำนาจหน้าที่ในการบริหารกิจการของทีพีไอ!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่การกระทำอันไม่ชอบธรรมของกระทรวงการคลังและตัวแทนที่มีพล.อ.มงคล อันพรพิสิฎร์ เป็นประธาน รวมถึงการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบบีบบังคับและคุมตัวนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ลงจากเวทีการประชุมผู้ถือหุ้นของทีพีไอในวันที่ 27 เมษายน 2549 ทั้งที่นายประชัย มีอำนาจหน้าที่ในการเป็นประธานที่ประชุมผู้ถือหุ้นของทีพีไอและควบคุมการประชุมผู้ถือหุ้น แต่ตัวแทนของกระทรวงการคลังฝ่าฝืนไม่ยอมให้คณะกรรมการชุดเดิมของทีพีไอซึ่งมีนายประชัย เป็นผู้นำในการกลับมามีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 90/75 ประกอบกับพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด มาตรา 77

ซึ่งบัญญัติให้กระทรวงการคลังและตัวแทนหมดอำนาจจัดการกิจการและทรัพย์สินของทีพีไอ และอำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการของทีพีไอกลับไปเป็นของคณะกรรมการชุดเดิมของทีพีไอที่มีนายประชัย เป็นผู้นำ ภายหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการทีพีไอ แต่ข้อในข้อเท็จจริงทั้งกระทรวงการคลังและคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ ที่มีพล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎร์ เป็นประธานกลับฝ่าฝ่าฝืนและไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมืองแต่อย่างใด

ล่าสุดสำหรับข้อร้องเรียนในเรื่องดังกล่าวของผู้ถือหุ้นเดิมทีพีไอและนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ กำลังจ่อคิวให้คณะผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาพิจารณาและชงเรื่องให้ศาลปกครองคืนความชอบธรรมให้กับทีพีไอแล้ว!   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us