|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ในช่วงไปกี่ปีที่ผ่านมา ชื่อของ ตี๋ - แม็ทชิ่ง หรือ สมชาย ชีวสุทธานนท์ นั้น ดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับธุรกิจ "แม็ทชิ่ง สตูดิโอ" ของเขาและหุ้นส่วน ซึ่งก็ได้เติบใหญ่จนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้ผู้ร่วมทุน ได้พันธมิตรใหม่ ๆ ที่แข็งแกร่ง และธุรกิจของเขาก็ได้ขยายตัวออกไป จากที่เคยปักหลักอยู่ในธุรกิจ "ผลิตหนังโฆษณา" ก้าวสู่ "ธุรกิจภาพยนตร์ - สิ่งพิมพ์ - นำเข้าคอนเสิร์ต - จัดกิจกรรม - สื่อรูปแบบใหม่ ๆ ฯลฯ"
ซึ่งผลประกอบการปรากฏในท้ายที่สุดว่าไม่ดีเลย ... คือขาดทุนอ่วม
ถึงวินาทีนี้ แม็ทชิ่งได้นั่งทบทวนที่มาที่ไป ดูจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง และคงพอจะจับทิศทางเพื่อตั้งหลักใหม่ได้แล้วกระมัง ... แต่จะเป็นอย่างไรไว้ว่ากันตอนท้าย
เราจะมาไล่เรียงความเป็นมาตามไปด้วยดีกว่า ในห้วงยามการเติบโตของเศรษฐกิจกลางทศวรรษ 2530 บริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาแห่งหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอุตสาหกรรมโฆษณากำลังบูม แล้วถึงเปิด (อย่างที่คนอื่น ๆ เขาทำกัน) หรอก แต่มันคือการลงหลักปักฐานความฝันอันบรรเจิดของสองหนุ่ม
ตี๋ - สมชาย ชีวสุทธานนท์
ดอม - ฐนิสสพงศ์ ศศินมานพ
พวกเขาปรารถนาจะสร้าง Production House สัญชาติไทย ที่มีฝีมือสุดยอดไม่แพ้ชาติใดในโลก
"ผมต้องการสร้างสถาบันของผม ให้เป็นสถาบันของสุดยอดนักทำโฆษณา"
ฝันและความตั้งใจของตี๋ ดอม และทีมงานได้ถูกแปลงออกมาเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง แม็ทชิ่งเริ่มสร้างชื่อเสียงในการเป็นบริษัทผลิตหนังโฆษณาที่เจ๋งที่สุดของเมืองไทย
ไอ้ริดกินแบล็ค - มิสทินเต่าเรียกแม่ - ก๊อตซิล่า ปตท. - คาราบาวแดง - หนอนชาเขียวยูนิฟ ฯลฯ สารพัดโฆษณาระดับ Talk of The Town ได้ถูกผลิตออกจากแม็ทชิ่ง
ตี๋พยายามดึงเอาครีเอทีฟจากเอเจนซี่ชั้นนำ ซึ่งมีใจอยากทำหนังโฆษณาให้มาชุมนุมกันที่นี่ ยอดบิลลิ่งของแม็ทชิ่งได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึง 600 กว่าล้านบาท (ก่อนเข้าตลาด)
10 กว่าปีให้หลัง Matching Studio คือเบอร์หนึ่งของเมืองไทย แต่ในโลก วันนี้แม็ทชิ่งไต่ขึ้นมาถึง TOP 5
ถามว่าผู้กำกับหนังโฆษณาที่เก่งที่สุดในโลก ได้รับรางวัลอันเป็นที่ยอมรับของวงการโฆษณาโลกมากที่สุด ทำงานอยู่ที่ประเทศไหน บริษัทอะไร
คำตอบคืออยู่เมืองไทย ณ แม็ทชิ่ง สตูดิโอ
"ปัจจุบันเราติด TOP 5 ของโลก ผู้กำกับของเรา คุณมั่ม - สุธน เพชรสุวรรณ เป็นผู้กำกับอันดับ 1 ของโลก" ตี๋เคยกล่าวอย่างภูมิใจในบทสัมภาษณ์กับนิตยสาร thaicoon
หนึ่งทศวรรษผ่านไป แม็ทชิ่งถึงเวลาก้าวไปข้างหน้าอีกขั้น โดยการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
แม็ทชิ่งเข้าในตลาด MAI ก่อนที่ไม่นานก็ก้าวข้ามไปเข้าตลาด SET
จากธุรกิจผลิตหนังโฆษณา ได้ขยายธุรกิจออกไปในหลายด้าน - ทั้งภาพยนตร์, เมืองหนัง, รายการโทรทัศน์, สื่อสิ่งพิมพ์, จัดคอนเสิร์ต มหรสพ และการแสดงจากต่างประเทศ, สวนสนุก ฯลฯ
แต่ผลประกอบการจากธุรกิจอื่น ๆ ยังไม่เด่นชัด เท่ากับธุรกิจหลักคือการผลิตหนังโฆษณา
ยิ่งในปี 48 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าขาดทุนมหาศาลหลายร้อยล้านบาท ... ไม่ว่าจะจากการจัดประกวดมิสยูนิเวอร์ส การสร้างหนังภาพยนตร์ การนำเข้าคอนเสิร์ต และธุรกิจสื่อหลายตัวที่ไม่น่าพอใจ
"สิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่ว่าตอนนี้ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ ไม่ใช่มีเม็ดเงินเข้ามาทำให้รากฐานของเรามั่นคง" ตี๋พูดขึ้น หลังจากได้รับเม็ดเงินจากผู้ถือหุ้นใหม่ บริษัท BBTV ในเครือช่อง 7 (ถือหุ้นแม็ทชิ่งในสัดส่วน 27.8%) ได้ไม่นาน "แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ ผมมีเพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุด เรามีทีมเวิร์คที่ดีที่สุด เหล่านี้คือที่มาของผลงาน ที่มาของการเข้าตลาด ที่มาของการที่ประชาชนวางใจเอาเม็ดเงินมาลงทุนระดมกับเรา" เขาย้ำ
แม้แม็ทชิ่งจะได้ขยายอาณาจักรออกไปอย่างกว้างขวาง แต่หัวใจในวันนี้ กับวันแรกที่ก่อตั้ง ไม่ต่างกันเลย คือการเป็นสุดยอด Production House
"ถ้าใครถามผมว่าแม็ทชิ่งคืออะไร ผมก็จะบอกว่าเป็นศูนย์รวมของคนรักหนังที่ต้องการจะทำหนังจริงๆ เพราะจุดเริ่มต้นในการเปิดแม็ทชิ่ง
คือ ผมต้องการทำหนังโฆษณาที่ดี"
ในวันที่บริษัทจะเข้า (หรือเพิ่งเข้า) ตลาดใหม่ ๆ ตี๋และที่ปรึกษาของเขาอาจจะเชื่อว่าแม็ทชิ่งจำเป็นต้องมีธุรกิจในเครือที่หลากหลาย จึงจะประสบความสำเร็จ
แต่ในวันนี้เขาคงผ่านการเรียนรู้ ลองผิดลองถูกมาระยะหนึ่ง ก่อนจะตกผลึกได้คำตอบในใจว่าแม็ทชิ่งควรจะเป็นบริษัทอะไรกันแน่?
ความเชี่ยวชาญเฉพาะของแม็ทชิ่งอยู่ที่ไหน?
แม็ทชิ่งจะวางกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตไปในทิศทางใด?
จะประสบความสำเร็จหรือไม่?
บทวิเคราะห์
บริษัทที่สร้างตัวขึ้นมาจากคนๆเดียวหรือสองคนนั้น ปัญหาในระยะแรกไม่ใช่ปัญหาด้านการบริหารและการจัดการ แต่เป็นปัญหาเรื่องความอยู่รอด องค์กรเถ้าแก่นั้นในระยะเริ่มต้นมักจะเริ่มจากคนเพียงคน หรือถ้าอย่างมากก็ไม่น่าจะเกิน 2 คน(ไม่เช่นนั้นจะทะเลาะกันในภายหลัง) ทั้ง 2 คนก็มักจะเติมในสิ่งที่ตนเองขาด
การก่อตั้งบริษัทนั้นมีหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการถูกบีบคั้นจากที่ทำงานเดิม อิ่มตัวในฐานะลูกจ้างและคิดว่าตัวเองพร้อมแล้วที่จะมีกิจการเป็นของตนเอง หรืออาจจะเป็นเพราะเห็นโอกาสทางธุรกิจที่ไม่มีใครสนองตอบต่อโอกาสนั้น ก็กระโดดเข้ามาทำงาน
สมชาย ชีวสุธานนท์ หรือตี๋ แม็ทชิ่ง เห็นโอกาสและอิ่มตัวอีกทั้งเซ็งจากการเป็นลูกจ้าง จึงออกมาตั้งบริษัทและได้คู่หูซึ่งเป็นช่างภาพมือหนึ่งของประเทศ เมื่อองค์ประกอบลงตัว ธุรกิจก็เกิดได้ไม่ยาก แม้จะเหนื่อยอย่างหนักหนาสาหัสในช่วงเริ่มต้นก็ตาม
ความยากของการทำธุรกิจนั้น สาเหตุสำคัญอยู่ที่ทำอย่างไรนอกจากจะให้องค์กรอยู่รอดในช่วงตั้งตัวแล้ว ก็ยังต้องทำให้องค์กรเจริญเติบโตไปได้ด้วย
ข้อต่อของการเปลี่ยนแปลงนี่แหละ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะต้องการระบบการบริหารอย่างมืออาชีพเข้ามาถ่วงดุลด้วย แทนที่จะหาโอกาสทางธุรกิจแบบเถ้าแก่อย่างเดียวเท่านั้น
ท่านประธานเหมา ก็มีนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลเป็นพาร์ทเนอร์ ขณะที่บิลล์ เกตส์ ก็มีสตีฟ บัลเมอร์ คอยบริหารบริษัทให้เช่นเดียวกับสุทธิชัย หยุ่น ก็ต้องมีธนาชัย ยังไงยังงั้น ส่วนผสมที่ลงตัวแบบนี้เท่านั้น จึงจะทำให้องค์กรเจริญเติบโต
แม็ทชิ่ง ยังขาดตรงนี้อยู่ สมชายยังมีความเป็นเถ้าแก่ และศิลปิน เช่นเดียวกับดอม ผู้ร่วมก่อตั้ง เมื่อบริษัทเจริญเติบโตยิ่งขึ้น บริษัทจำเป็นต้องขยายไปสู่ธุรกิจอื่นๆเพราะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
บริษัทใดก็ตามที่กลายเป็นบริษัทจดทะเบียนจะยุ่งขิงเกี่ยวกับการขยายตัวไปทำโน่นทำนี่มากมาย เพื่อให้ผลประกอบประจำไตรมาสออกมาดูดี ส่วนหุ้นจะขึ้นหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง อย่างน้อย หุ้นก็ไม่ตก
หลายครั้งหลายหนที่ขยายออกไปเพื่อต้องการสร้างความเจริญเติบโตโดยไม่สอดคล้องกับจุดแข็งของบริษัทแม็ทชิ่ง สตูดิโอ นับตั้งแต่เข้าตลาดก็กำหนดตนเองว่าอยู่ในธุรกิจ Media & Entertainment อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับสื่อและความบันเทิงนั้นกระโดดลงไปทำหมดเกือบทุกอย่าง
ซึ่งแต่ละธุรกิจนั้นมีความเสี่ยงสูง และไม่ได้ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ขาดทุนบานเบอะ ทั้งการสร้างภาพยนตร์ ประกวดนางงาม สื่อสิ่งพิมพ์ ฯลฯ สิ่งที่ตี๋ควรกระทำและได้กระทำแล้วในขณะนี้ก็คือ Focus ใน Core Competency นั่นคือสิ่งที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ คือการสร้างภาพยนตร์โฆษณา ซึ่งแม็ทชิ่งติดอันดับหนึ่งใน 5 ของโลก
ซึ่งก็หมายความว่าต้องบุกตลาดต่างประเทศเป็นหลัก เพราะตลาดในประเทศตกต่ำก็จริง แต่ตลาดต่างประเทศยังบูมอยู่มาก ให้เอเยนซี่ระดับโลก outsourcing การสร้างหนังโฆษณามาที่ประเทศไทย เพราะต้นทุนบ้านเราถูกกว่าและฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่น
การสร้างหนังโฆษณานั้นต้องทักษะและศิลปะ ซึ่งไม่ใช่ทุกบริษัทและทุกประเทศจะทำได้ แม็ทชิ่งเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น Focus On Core Competency จึงเท่ากับสมชายเดินมาถูกทางแล้ว
อีกเรื่องก็คือต้องหามืออาชีพมาดูแลด้านบริหาร ไม่เช่นนั้น วิญญาณเถ้าแก่ที่คุโชนในใจตี๋ อาจจะทำให้เขาทำในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดอีก
|
|
|
|
|