บสก. เลื่อนแผนเข้าตลาดฯ เป็นครึ่งหลังปีหน้า รอการเมืองนิ่ง ยันหลังปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นไทย 100% โดยเฉพาะสถาบันการเงิน แต่ต้องรอหารือสัดส่วนการถือหุ้นกองทุนฟื้นฟูผู้ถือหุ้นใหญ่ก่อน โชว์ผลงานรอบปี 48 โชว์ผลงานช่วงที่ผ่านมาเจ๋งมีกำไรสะสมเพิ่มเป็น 8,000 ล้านบาท จาก 1,000 ล้าน พร้อมเตรียมรับซื้อเอ็นพีแอลจากแบงก์พาณิชย์มาบริหารอีก 30,000-40,000 ล้าน ระบุขณะนี้ "กรุงไทย-ทหารไทย-กสิกรไทย" ตอบรับที่จะขายหนี้ให้แล้ว
นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ (บสก.) เปิดเผยว่า บริษัทต้องเลื่อนแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จากเดิมที่ตั้งใจที่จะเข้าจดทะเบียนในเดือนมิถุนายนปีหน้า แต่หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่มีการยึดอำนาจของคณะปฎิรูปการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้ต้องเลื่อนออกไปเป็นช่วงครึ่งปีหลังแทน
อย่างไรก็ตาม ภายในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ บริษัทเตรียมที่จะเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เพื่อเลือกที่ปรึกษาทางการเงินและที่ปรึกษาทางกฎหมาย รวมทั้งการจัดทำแผนระดมทุน นอกจากนี้จะต้องมีการหารือกับทางกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น 100% ว่าจะต้องลดสัดส่วนการถือหุ้นลงไปอยู่ในระดับใด ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องหารือหลังได้รับความเห็นชอบจากกองทุนฟื้นฟูฯ แล้ว
“เดิมทีมีแผนเข้าตลาดในช่วงกลางปี เพราะได้เตรียมแผนการไว้หมดแล้ว แต่ด้วยการเมืองยังไม่สงบจึงน่าจะเข้าตลาดได้หลังมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งตั้งใจว่าจะจบได้แน่ เพราะเรื่องนี้เราเตรียมการมานานแล้ว โดยหลังเข้าตลาดการบริหารงานจะคล่องตัวมากขึ้น และยืนยันว่าผู้ถือหุ้นใหญ่จะเป็นลงทุนไทย โดยเฉพาะสถาบันการเงิน” นายบรรยงกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้บริษัทได้เตรียมตัวโดยการทำผลงานให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากล่าสุดบริษัทมีสินทรัพย์สูงถึง 80,000 ล้านบาท เพิ่มจาก 30,000 ล้านบาท มีกำไรสะสมเพิ่มจาก 1,000 ล้านบาท เป็น 8,000 ล้านบาท ในปัจจุบัน และมีหนี้สิน 50,000 ล้านบาท โดยช่วงสิ้นปี 2548 บริษัทมีราคาหุ้นตามมูลค่าทางบัญชีที่ 40 บาท แต่ปัจจุบันน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 41 บาท
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเตรียมรับซื้อสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จากธนาคารพาณิชย์มาบริหารอีกจำนวน 30,000-40,000 ล้านบาท โดยเป็นการรับซื้อตามสูตรที่ได้ตกลงก่อนหน้านี้ ที่มีแบ่งเป็น A, B, C, D ซึ่งสัดส่วนน่าจะเป็นเกรด C และ D มากที่สุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายน่าจะอยู่ที่ 70% ของราคาประเมิน หรือ 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนเอ็นพีเอในระบบสถาบันการเงินจากประมาณ 170,000 ล้านบาท เหลือเพียง 130,000-140,000 ล้านบาท และจะทำให้ระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในระบบลดลงไปด้วย โดยขณะนี้มีธนาคารกรุงไทย ธนาคารทหารไทย และธนาคารกสิกรไทย ตอบรับการขายเอ็นพีเอดังกล่าวกับบสก.แล้ว
สำหรับในขั้นตอนต่อไปสมาคมธนาคารไทยต้องแจ้งเรื่องนี้ไปยังกองทุนฟื้นฟูฯ เพื่อกำหนดวันลงนามการซื้อขายต่อไป ส่วนแผนการรับซื้อเอ็นพีแอลจากระบบสถาบันการเงินนั้น ขณะนี้ติดปัญหาเรื่องราคาเล็กน้อย
นายบรรยง กล่าวว่า ในปี 2550 บริษัทมีแผนที่จะร่วมกับบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ ร่วมสร้างบ้านบนที่ดินที่เป็นเอ็นพีเอของบสก. ซึ่งเป็นการปรับปรุงที่ดินเปล่าเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อสร้างมูลค่าสินทรัพย์ให้สามารถจำหน่ายได้ง่ายและได้ราคาดีขึ้น
สำหรับผลการดำเนินการในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา สามารถเรียกเก็บหนี้ที่เป็นเงินสดและโอนทรัพย์สินชำระหนื้ ได้จำนวน 9,042 ล้านบาท แยกเป็นผลเรียกเก็บหนี้และขายทรัพย์สินจำนวน 6,686 ล้านบาท และรับโอนทรัพย์สินชำระหนี้จำนวน 2,356 ล้านบาท
|