|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
หลังจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประกาศ “ยึดอำนาจ” รัฐบาลภายใต้การนำของ “ทักษิณ ชินวัตร” ได้ส่งผลกระทบให้ระบอบ “ทักษิณ” ล้มครืนเป็นลูกโซ่ โดยเฉพาะการเข้าไป “ล้างบาง” ความไม่ชอบมาพากลในการบริหารบ้านเมืองและปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่ถูกซุกไว้ใต้พรมตลอดระยะเวลา 5 ปีเศษ ที่รัฐบาลชุดดังกล่าวบริหารประเทศ!
สิ่งแรกคือ การเข้าไปล้างบางระบอบทักษิณที่ได้ปลุกผี “รัฐตำรวจ” ขึ้นมาหลอกหลอนชาวบ้าน ล่าสุดมีการย้ายข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นลิ่วล้อระบอบทักษิณมาเข้ากรุนั่งตบยุงที่สำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
ถัดมาคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ประกาศ “ติดดาบอาญาสิทธิ์” ให้กับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อเข้าไปขุดคุ้ยปัญหาการทุจริตเชิงนโยบาย ในกรณีการขายหุ้นของกลุ่มชินคอร์ปที่ทำธุรกิจผูกขาดการสัมปทานด้านระบบการสื่อสารของประเทศให้กับกองทุนเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์ในวงเงินกว่า 73,000 ล้านบาท โดยไม่เสียภาษีให้กับประเทศชาติแม้แต่สตางค์แดงเดียว
รวมถึงการเข้าไปตรวจสอบปัญหาคอร์รัปชันในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาล ทั้งโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเชื่อมมักกะสัน-สนามบินสุวรรณภูมิ หรือแอร์พอร์ต ลิงค์ ที่ส่อว่าจะมีการทุจริตเกี่ยวกับการที่ระบุให้หน่วยงานรัฐอย่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เข้าไปอุ้มค่าธรรมเนียมในการกู้เงินมาลงทุนกว่า 8,000 ล้านบาท
ยังไม่พูดถึงปัญหาการทุจริตกันอย่างมโหฬารในโครงการก่อสร้าง “สนามบินสุวรรณภูมิ” โครงการ “ซีทีเอ็กซ์” และล่าสุดกระแสข่าวการเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง 17 คนที่เป็นลิ่วล้อของระบอบทักษิณ ก็จ่อคิวถูกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเข้าไปขุดคุ้ยความจริงมาตีแผ่ต่อสังคมต่อไป
เห็นได้ชัดว่า หลังจากระบอบทักษิณล้มครืน ความไม่ชอบมาพากลในด้านการบริหารบ้านเมืองและปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งข้อเท็จจริงได้ถูกนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนในลักษณะ “น้ำลดตอผุด!!”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานอัปยศอีกชิ้นหนึ่งของระบอบทักษิณ ที่ได้ฝากไว้ให้สังคมดูต่างหน้าก็คือ การส่งลิ่วล้อ ทั้งผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังและเจ้าของฉายา “นายทหารพาณิชย์” อย่าง “พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์” เข้าไปยึดกิจการของทีพีไออย่างชนิดไม่เกรงกลัวต่อความผิดทางด้านกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งปัญหาดังกล่าวกำลังจ่อคิดถูกปลดล็อกและคืนความชอบธรรมให้กับอาณาจักรแสนล้านอย่างทีพีไอในเร็วๆ นี้!
เปิดปูมอัปยศ...ระบอบทักษิณปล้น “ทีพีไอ”
หลังจากศาลล้มลายกลางได้มีคำสั่งให้บริษัท เอ็ฟเฟคทีฟ แพลนเนอร์ส จำกัด (อีพีแอล) พ้นจากการเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2546 ขณะเดียวกันในวันที่ 11 กรกฎาคม 2546 ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้กระทรวงการคลังเข้ามาเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ โดยมีการเสนอชื่อคณะผู้บริหารแผนฯ ประกอบด้วย พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา นายพละ สุขเวช ดร.ทนง พิทยะ และนายอารีย์ วงศ์อารยะ หรือที่รู้กันในนาม “5 เสือ” ที่เป็นตัวแทนจากกระทรวงการคลังเข้ามาทำหน้าที่บริหารแผนฟื้นฟูกิจการอาณาจักรแสนล้านของทีพีไอ
ซึ่งข้อเท็จจริงในช่วงเวลานั้น ระบอบ “ทักษิณ” อยู่ในยุครุ่งเรืองสุดขีด ประชาชนทั่วทุกมุมของประเทศต่างหลงใหลในภาพลวงตาผ่านนโยบายประชานิยมของรัฐบาล ไม้เว้นแม้แต่นโยบายของระบอบทักษิณในการส่งลิ่วล้อเข้ายึดกิจการของเอกชนอย่าง “ทีพีไอ” ก็ถูกวางแผนไว้อย่างชนิดแยบยล โดยมีเป้าหมายเบื้องลึกชัดเจนต้องยึดอาณาจักรแสนล้านของทีพีไอผ่านระบบกลไกของภาครัฐหรือกลไกตัวแทนของกระทรวงการคลัง
ภาพการเข้ายึดกิจการทีพีไอของระบอบทักษิณชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจาก “5 เสือ” ของตัวแทนกระทรวงการคลังเข้ายึดกิจการของทีพีไอชนิดเบ็ดเสร็จ ในช่วงเวลานั้นรัฐบาล “ทักษิณ” อยู่ระหว่างการโปรยยาหอมให้กับประชาชนในระดับรากหญ้าผ่านการเดินสายทัวร์นกขมิ้น และจังหวะเดียวกันนั่นเอง “5 เสือ” จากกระทรวงการคลังที่นำโดยลิ่วล้อคนสำคัญอย่าง “พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์” เป็นโต้โผใหญ่ ได้แย่งซีนทัวร์นกขมิ้นของรัฐบาลทักษิณที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยการส่งเทียบเชิญ “ทักษิณ ชินวัตร” เดินทางมาดูอาณาจักรแสนล้านของทีพีไอที่จังหวัดระยองด้วยตัวเอง
“ในช่วงเวลานั้นระบอบทักษิณ ได้วางแผนกันไว้อย่างแยบยลในการเข้ายึดกิจการแสนล้านของทีพีไอ โดยหลังจาก “5 เสือของคลัง” เข้ายึดทีพีไอชนิดเบ็ดเสร็จ “ทักษิณ ชินวัตร” เข้ามาดูอาณาจักรทีพีไอด้วยตัวเอง โดยแรกสุดวางแผนให้ผู้นำรัฐบาลคนนี้นั่งเฮลิคอปเตอร์บินตรงจากจังหวัดกาญจนบุรีมาลงจอดที่โรงกลั่นน้ำมันทีพีไอที่ระยองกันเลยทีเดียว แต่ในจังหวะนั้นเองลิ่วล้อได้ฉุกคิดเกรงว่า จะส่อเจตนายึดทีพีไอโจ่งแจ้งเกินไป จึงเล่นละครให้ทักษิณ ชินวัตร เดินทางโดยรถยนต์เข้ามาดูอาณาจักรทีพีไอแทน” ผู้บริหารในทีพีไอรายหนึ่งกล่าว
ในที่สุดตามที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องการยึดกิจการทีพีไอของ “ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” ที่ถือว่าเป็นหอกข้างแคร่ของทักษิณ ชินวัตร ก็ปรากฏเป็นจริง โดยแหล่งข่าววงในระบุตรงกันว่า “ทักษิณ ชินวัตร” กำลังเบนเข็มไปสู่การลงทุนในธุรกิจใหม่ เนื่องจากธุรกิจทางด้านการสื่อสารที่เข้าสู่ยุคการแข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะธุรกิจการสื่อสารที่เข้าสู่ “ยุค 3G” หรือเข้าสู่ยุคการสื่อการที่สื่อถึงกันได้ทั้งข้อมูล ข้อมูลภาพและเสียง ซึ่งจะต้องมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน และต้องใช้วงเงินลงทุนสูงมากหรือวงเงินหลายแสนล้านบาท
ธุรกิจพลังงาน ถือว่าเป็นธุรกิจดาวรุ่งพุ่งแรง ที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่จ้องตาเป็นมัน โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่อยู่ในเครือข่ายของระบอบทักษิณที่ประเดิมการเข้าไปลงทุนในธุรกิจพลังงานของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยผ่านกลไกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จนในที่สุดกลุ่มทุนดังกล่าวได้เข้าไปกอบโกยผลกำไรจากหุ้น ปตท.จนพุงปลิ้น เพราะซื้อหุ้น ปตท.ในราคา 35 บาทต่อหุ้น ขณะที่ปัจจุบันราคาหุ้น ปตท.ทะยานสูงสุดกว่า 200 บาทต่อหุ้น หรือว่ากันว่า มีเม็ดเงินของกลุ่มทุนเครือข่ายระบอบทักษิณไหลเวียนในการซื้อ-ขายหุ้น ปตท. มีมูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท
หลังจากกลุ่มทุนของเครือข่ายระบอบทักษิณเข้าครอบงำผลประโยชน์ก้อนโตในหุ้น ปตท.สำเร็จ อาณาจักรทีพีไอคือเป้าหมายต่อไปของกลุ่มทุนการเมืองกลุ่มนี้ ซึ่งแผนการเข้ายึดอาณาจักรแสนล้านของทีพีไอถูกเปิดออกมาให้สังคมเห็นกันชนิดจะจะ โดยระบอบทักษิณได้วางแผนกันไว้อย่างเป็นขบวนการ โดยในเบื้องต้นได้ส่งตัวแทนกระทรวงการคลังเข้ามาบริหารแผนฟื้นฟูกิจการฯ และในที่สุดก็เปิดทางให้กับพันธมิตรของกระทรวงการคลังเข้า “ปล้นกลางแดดทีพีไอ” โดยซื้อหุ้นทีพีไอในราคาถูกชนิดเทกระจาด 3.30 บาทต่อหุ้น ทั้งๆ ที่ผู้ถือหุ้นเดิมเสนอซื้อในราคา 5.50 บาทต่อหุ้น แต่กระทรวงการคลังปฏิเสธขายหุ้นให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอย่างไม่มีเยื่อใย!
แฉนายทหารพาณิชย์ รับเละหนึ่งล้านต่อเดือน
ในวินาทีแรกที่ศาลล้มละลายได้มีคำสั่งให้กระทรวงการคลังเข้ามาเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมรวมถึง “ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” เจ้าของอาณาจักรทีพีไอแสนล้านตัวจริง ถึงกับประกาศว่า “ฟ้าเปิด” ให้กับทีพีไอแล้ว แต่ในข้อเท็จจริงกลับตรงกันข้าม “5 เสือ” ตัวแทนกระทรวงการคลังที่นำโดย “พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์” กลับเข้ามาซ้ำเติมผู้ถือหุ้นเดิม โดยการยืมมืออำนาจรัฐเข้ามา “ปล้นกลางแดดทีพีไอ” ไปอย่างหน้าด้าน!
สำหรับงานแรกที่ 5 เสือจากกระทรวงการคลังเข้ามาประเดิมในการบริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอก็คือ การกำหนดค่าตอบแทนให้กับตัวเองและพรรคพวกในนามคณะที่ปรึกษา โดยมีรายละเอียดคือ
1. พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ จำนวน 1 ล้านบาทต่อเดือน 2. นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา นายพละ สุขเวช นายอารีย์ วงศ์อารยะ ดร.ทะนง พิทยะ รายละ 750,000 บาทต่อเดือน 3. นายนิพัทธ พุกกะณะสุต นายวิจิตร สุพินิจ นายวิเชียร วิริยะประสิทธิ์ และดร.วีรพงษ์ รามางกูร รายละ 200,000 บาท
ขณะเดียวกัน 5 เสือจากกระทรวงการคลังได้ว่าจ้างบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด ที่มีนายจุมพล ศานติพงศ์ นายศิริ จีระพงศ์พันธ์ และนายเฉลิมชัย สมบูรณ์ปกรณ์ ซึ่งเป็นบริษัทลิ่วล้อของ 5 เสือจากคลังให้เป็นที่ปรึกษาในด้านต่างๆ ในวงเงินถึง 20 ล้านบาทต่อเดือน และการว่าจ้างบริษัท โพลิเมอร์ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัด เพื่อผลิตถุงพลาสติกในวงเงิน 10 ล้านบาทต่อเดือน
ซึ่งในวงในทีพีไอระบุชัดว่า “การจ่ายเงินทีพีไอถึง 10 ล้านบาทต่อเดือน เป็นค่าผลิตถุงพลาสติกหรือ 120 ล้านบาทต่อปี ถือว่าเป็นการผ่องถ่ายเงินทีพีไอเข้าสู่กระเป๋าระดับบิ๊กๆ ได้อย่างแยบยล และยากในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นการปล้นทีพีไออีกช่องทางหนึ่ง”
5 เสือจากกระทรวงการคลังยังได้ว่าจ้างทีมงานหลายราย ทั้งๆ ที่อยู่ในฐานะรับราชการทั้งข้าราชการทหารและพลเรือนในวงเงินสูงลิ่ว อย่างกรณีผู้ใกล้ชิดนายทหารพาณิชย์อย่าง พล.ท.บัญชร ชวารศิลป์ (ยศขณะนั้น) ถึงเดือนละ 200,000 บาท ทั้งๆ ที่ทีมงานของ 5 เสือจากกระทรวงการคลังยังรับราชการอยู่ แต่มานั่งกินเงินเดือนทีพีไอเดือนละหลายแสนบาท ถือข้าราชการทั้งทหาร (บางราย) ตำรวจและข้าราชการพลเรือนรับเงินเดือนถึงสองเด้ง และยังถือว่าเป็นการกระทำผิดพระราชบัญญัติข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือนกันอย่างโจ่งครึ่มกันเลยทีเดียว!
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า 5 เสือในฐานะตัวแทนของกระทรวงการคลังเข้ามาบริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอในระยะเวลาเพียง 1 ปีเศษ ได้ผลาญเงินทีพีไอเป็นค่าตอบแทนและค่าบริหารจัดการคิดเป็นวงเงินกว่า 1,700 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการผ่องถ่ายเงินทีพีไอไปในทางไม่ถูกต้องตามกฎหมายอีกจำนวนมาก ที่อยู่ระหว่างการจ่อคิวเข้าไปตรวจสอบและเช็กบิลลิ่วล้อของระบอบทักษิณในอนาคตอันใกล้นี้!
|
|
|
|
|