|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ตลาดหุ้นแค่ตกใจช่วงสั้นปิดลบแค่ 9.99 จุด ฝรั่งไม่สนปัญหาการเมืองไล่เก็บหุ้นพอร์ตซื้อสุทธิเกือบ 7.4 พันล้านบาท ประธานตลท.ชี้ตั้งรัฐบาลได้เร็วดีกับระบบเศรษฐกิจ เชื่อเม็ดเงินไหลต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาเร็วกว่าที่คาด "ภัทรียา" เตือนนักลงทุนเลือกลงทุนอย่างรอบคอบ ด้านบิ๊กปตท.ชี้ผลกระทบต่อตลาดหุ้นรอบนี้น้อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ส่วนตลาดอนุพันธ์วอลุ่มพุ่ง 3 พันสัญญา ขณะที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ย 5.25% ตามคาด ส่วน "มูดี้ส์" ยืนยันให้อันดับเรตติ้งเดิมแก่ไทย
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (21 ก.ย.) ภายหลังตลาดหลักทรัพย์กลับมาเปิดให้ทำการเป็นปกติหลังจากที่คณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สั่งให้หยุดการซื้อขายในวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา โดยเปิดตลาดในช่วงเช้านักลงทุนกระหน่ำเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก ส่งผลทำให้ดัชนีเปิดตลาดดัชนีหุ้นปรับตัวลงมาหนักอยู่ที่ 673.00 จุดลดลง 29.56 จุด หรือ 4.20% ต่อมามีแรงซื้อเข้ามาทำให้ดัชนีเริ่มฟื้นตัวและมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยดัชนีปิดที่ 692.57 จุดลดลง 9.99 จุด หรือ1.42% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 702.05 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นที่ระดับ 43,084.01 ล้านบาท ถือได้ว่ามีมูลค่าการซื้อขายวันนี้สูงที่สุดในรอบ 5 เดือน
การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มปรากฏว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 7,393.14 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,787.86 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 4,605.28 ล้านบาท
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวดีขึ้นหลังจากในช่วงแรกที่เปิดการซื้อขายดัชนีฯ จะมีการปรับตัวลดลงแรงก็ตามนั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าจากนี้ไปภาวะตลาดน่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากหากพิจารณาในเรื่องปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง และจากการปฏิรูปทางการเมืองในครั้งนี้ก็เป็นไปในทิศทางที่มีความเรียบร้อย ก็จะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
ทั้งนี้หากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เร็ว มีการตัดสินใจในเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่รวดเร็วก็จะเป็นปัจจัยบวกที่จะกระตุ้นการลงทุนเศรษฐกิจให้มีการเติบโตจะส่งผลทำให้เม็ดเงินการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงเปิดตลาดดัชนีฯ ได้มีการปรับตัวลดลงมาประมาณ 2-3% นั้นถือว่าไม่รุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต จากการที่นักลงทุนได้รับรู้ข้อมูลมากขึ้นจากการที่วานนี้ได้มีการปิดซื้อขาย 1 วัน ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งนักลงทุนควรที่จะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจขายหุ้นออกมา
ก.ล.ต.ชี้แจงสถานการณ์การเมือง
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กล่าวถึงการเข้ามาร่วมสังเกตการณ์เกี่ยวกับการเปิดให้มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ถือว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงระบบการทำงานและดูแลของตลาดหลักทรัพย์ก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย
ทั้งนี้สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากความเข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่นักลงทุนไทยซึ่งอยู่ในพื้นที่มีความเข้าใจมากกว่าจึงไม่น่าจะส่งผลกระทบในเรื่องการเทขายหุ้นออกมารุนแรง เพราะสถานการณ์ล่าสุดถือว่าทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาถึงพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนควรจะติตตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดเพื่อความชัดเจนในการลงทุน
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า ตลอดวานนี้ทั้งวันก.ล.ต.จากต่างประเทศในภูมิเอเชีย ได้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศมายังก.ล.ต.ไทยค่อนข้างมาก ซึ่งสำนักงานได้มีการชี้แจงเพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์ โดยสิ่งที่ก.ล.ต.ต่างประเทศให้ความสนใจคือการกลับมาเปิดซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ และข้อจำกัดในเรื่องการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากมีความกังวลว่าอาจจะส่งผลทำให้นักลงทุนในประเทศนั้นๆ ที่ถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้
ผลกระทบรุนแรงน้อยกว่าอดีต
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า จากความกังวลของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศขณะนี้ได้เริ่มคลายความกังวลเนื่องจากทางคณะปฏิรูปการปกครองมีความชัดเจนและมีแนวทางที่จะดำเนินการต่อไป ซึ่งหากเทียบกับอดีตที่ผ่านมาเช่น ช่วงเดือนพฤษภาคม 2535 ยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ปี 2534 เหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไปประมาณ 6-8% ขณะที่วานนี้ปรับตัวลดลงไม่มาก
ทั้งนี้การที่ดัชนีปรับลดลงไม่มากสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่หุ้น ปตท. ซึ่งมีการเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับราคาปิดก่อนที่จะเกิดการยึดอำนาจการปกครองที่ 218 บาทต่อหุ้น ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าทุกอย่างจะกลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ สถาบันการเงิน และบริษัทต่างๆ ได้พยายามสร้างความมั่นใจและร่วมชี้แจงให้กับนักลงทุน
อนุพันธ์วอลุ่มพุ่ง 3,623 สัญญา
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดอนุพันธ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วานนี้ตลาดอนุพันธ์ได้เปิดดำเนินการซื้อขายตามปกติ หลังจากปิดดำเนินการ 1 วัน เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นตลาดของสินค้าอ้างอิงได้หยุดทำการในวันที่ 20 กันยายน 2549 พบว่าผู้ลงทุนให้ความสนใจเข้ามาซื้อขายเป็นจำนวนมาก โดยมีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 3,623 สัญญา สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ตลาดอนุพันธ์เปิดดำเนินการ ทั้งนี้ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยของช่วงเวลาเกือบ 5 เดือน ที่เปิดดำเนินการเฉลี่ยอยู่ที่ 795 สัญญาต่อวัน
เล็งปรับลดราคาน้ำมันขายปลีก
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า จากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในวันนี้ที่มีแนวโน้มที่อ่อนตัวลง เนื่องจากปรับตัวลงติดต่อกันมานานแล้ว บริษัทอาจจะพิจารณาการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศลงให้เหมาะสมในสัปดาห์หน้า โดยก่อนหน้านี้ได้มีการปรับราคาขายปลีกภายในประเทศลดลง โดยเบนซินลดลงประมาณ 4 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซล 2 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังคงไม่มีปัจจัยที่จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังคงต้องจับตาดูการใช้น้ำมันในช่วงฤดูหนาวนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่ความต้องการใช้มากขึ้น อาจจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
ก.ล.ต.ลุยสอบหุ้นชินต่อ
นายธีระชัย กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบหุ้นกลุ่มชินคอร์ป ว่า สำนักงานก.ล.ต.ยังคงเดินหน้าในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อเนื่อง โดยได้มีการประสานงานกับยังหน่วยงานจากต่างประเทศที่ได้มีการติดต่อเพื่อข้อมูลไว้ก่อนหน้านี้โดยได้ขอให้เร่งรัดกระบวนการส่งมูลเพื่อนำมาพิจารณาตรวจสอบต่อไป
ทั้งนี้ ในเรื่องการตรวจสอบดังกล่าว สำนักงานก.ล.ต.ยังไม่ได้รับคำสั่งให้มีการเร่งรัดหรือให้ดำเนินการเป็นอย่างอื่นจากคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
"เราจะเร่งดำเนินการในเรื่องการตรวจสอบให้เร็วที่สุด โดยเมื่อวานนี้รองเลขาฯก.ล.ต.ได้เป็นตัวแทนในการเข้ารายงานตัวกับคณะปฎิรูปฯ เนื่องจากผมติดภารกิจอยู่ต่างประเทศ เท่าที่ทราบยังไม่ได้มีการสั่งการให้เร่งดำเนินการตรวจสอบหรือข้อมูลแต่อย่างใด" นายธีระชัยกล่าว
"มูดี้ส์" ยืนยันให้อันดับเรตติ้งเดิมแก่ไทย
เอเอฟพี - มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ยืนยันวานนี้ (21) ว่า จะไม่มีการปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของไทยอย่างแน่นอน และจะยังคงเรตติ้งทิศทางแนวโน้มอนาคตของไทยไว้ที่ "Stable" เช่นเดิมด้วย โดยให้เหตุผลว่า เป็นเพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ ของไทยมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะฝ่าฟันสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นได้
"สถานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศของไทย น่าจะมีความเข้มแข็งพอที่จะทนทานต่อความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว จากการก่อรัฐประหารเมื่อวันอังคาร" มูดี้ส์กล่าว
ด้วยเหตุนี้ ทางสถาบันจึงมิได้มีการเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือและเรตติ้งทิศทางแนวโน้มในอนาคตของไทยแต่อย่างใด โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินต่างชาติและสกุลเงินท้องถิ่นของรัฐบาลไทย ยังคงอยู่ที่ Baa1 ขณะที่ยังคงเรตติ้งพันธบัตรสกุลเงินต่างประเทศ และเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศอยู่ที่ระดับ A3 และ Baa1 เช่นเดิม
โธมัส เบิร์น รองประธานมูดี้ส์ระบุว่า "มูดี้ส์มองว่าการก่อรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวิวัฒนาการทางการเมืองภายในประเทศครั้งสำคัญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างคณะรัฐบาลของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร, กองทัพ และชนชั้นนำในกรุงเทพฯ มากกว่าที่จะก่อให้เกิดผลทางการเงิน"
กระนั้นก็ดี เบิร์นยังย้ำด้วยว่า "แต่มูดี้ส์ยอมรับว่า สถานการณ์บ้านเมืองไทยยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่มาก และเราจะติดตามความเคลื่อนไหวในกรุงเทพฯ ต่อไปว่า สถานการณ์ในอีกหลายสัปดาห์หรืออีกหลายเดือนข้างหน้าจะคลี่คลายไปในทิศทางใด"
เฟดคงอัตราดอกเบี้ย 5.25% ตามคาด
เอเอฟพี - ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่สองติดต่อกันตามคาดในการประชุมรอบล่าสุด หลังข้อมูลเศรษฐกิจหลายชิ้นบ่งชี้ชัด เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง พร้อมกับแรงกดดันภาวะเงินเฟ้อที่เริ่มบรรเทาเบาบาง
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (20) คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) มีมติด้วยคะแนนเสียง 10 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเฟดฟันด์เรตอยู่ที่ 5.25% เช่นเดียวกับในการประชุมครั้งที่แล้ว หลังจากที่ช่วงก่อนหน้านั้น ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องมาแล้วถึง 17 ครั้ง
เฟดระบุว่า ยังคงมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต แต่ได้ตั้งข้อสังเกตว่า "เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงในระดับพอประมาณต่อไป ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มคลายความร้อนแรง"
แถลงการณ์ภายหลังการประชุมของเฟดยังชี้อีกว่า แม้แรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อจะยังคงมีอยู่ แต่ก็มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้คาดการณ์ได้ว่า แรงกดดันเหล่านี้น่าจะบรรเทาเบาบางลงได้ในระดับพอประมาณ
เอฟโอเอ็มซีเผยต่อไปว่า "คณะกรรมการลงความเห็นว่า ความเสี่ยงบางประการที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ ด้วยเหตุนี้ ขอบเขตและจังหวะเวลาในการใช้นโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าว จึงขึ้นอยู่กับแนวโน้มด้านราคาและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตเป็นสำคัญ"
กระนั้นก็ดี นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การที่เฟดแสดงทัศนะโน้มเอียงไปในด้านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็เพื่อต้องการหลีกเลี่ยงมิให้ตลาดการเงินพุ่งแรงเกินไป ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรลดต่ำลง และกระตุ้นให้เกิดการกู้ยืมมากขึ้น จนทำให้แรงกดดันด้านภาวะเงินเฟ้อยิ่งเพิ่มสูง
อย่างไรก็ตาม มาร์ก เลแวสก์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์สาขาอเมริกาเหนือของทีดี ซิเคียวริตี้ส์กล่าวว่า "เรายังคงเชื่อว่า วัฎจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว ที่เหลือขึ้นอยู่กับเวลาว่า เฟดจะเริ่มแสดงท่าทีอ่อนลงเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อเมื่อใดเท่านั้น"
แพทริก ฟีรอน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของเอจี เอ็ดเวิร์ดส์ชี้ว่า แม้ถ้อยแถลงของเฟดครั้งนี้แทบจะเหมือนกันทุกประการกับแถลงการณ์เมื่อ 6 สัปดาห์ก่อน "ทว่า ยังมีร่องรอยบางอย่างที่แสดงนัยยะว่า ทางคณะกรรมการอาจเริ่มที่จะวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อน้อยลง"
เขาได้เสริมว่า "ในการประชุมครั้งนี้ เอฟโอเอ็มซีมิได้มีการอ้างถึงการหดตัวของตลาดที่อยู่อาศัยว่า ได้ดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปดังเช่นที่กล่าวถึงในการประชุมครั้งก่อนๆ ซึ่งนั่นอาจตีความได้ว่า เฟดกำลังมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยได้กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญ ที่มีผลฉุดรั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ รุนแรงมากขึ้นกว่าที่คาด" นอกจากนี้ เฟดยังชี้อีกว่า ราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง จะช่วยทำให้การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อลดต่ำลง
ฟีรอนแจกแจงว่า แม้เฟดจะยังเอ่ยอ้างถึงโอกาสที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงสภาพการณ์โดยรวมขณะนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า
"เราจึงคาดว่า อัตราดอกเบี้ยน่าจะคงที่อยู่ที่ระดับนี้ไปจนถึงต้นปีหน้าเป็นอย่างน้อย และถึงแม้ว่าเราจะคาดการณ์ผิดไป และเศรษฐกิจสหรัฐฯจะชะลอตัวลงกว่าที่คาด ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยตอนต้นปี 2007" ฟีรอนกล่าว
|
|
|
|
|