โฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ก้าวเข้าเป็นประธานคณะกรรมการบริหารจัดการและวางแผนของธนาคารกรุงเทพอย่างเต็มตัวตั้งแต่วันที่
1 กันยายนศกนี้ ตำแหน่งนี้เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อปรับแต่งโครงสร้างองค์กรแบงก์เก่าแก่อายุ
50 ปีนี้ให้คล่องตัวมีความสามารถเชิงแข่งขันในอนาคต 5 ปีข้างหน้าและรองรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ของทายาทผู้นำ
"ถ้าถามผมว่า คุณโฆษิตมีสิทธิ์ที่จะมานั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่แบงก์หรือไม่
? ผมคิดว่ามีสิทธิ์ เพราะคุณโฆษิตเข้ามารับตำแหน่งที่สูงพอสมควร และเขาก็มีประสบการณ์ด้านการเงินจากลอนดอนประเทศอังกฤษ
แต่ผมคิดว่าเขาเหมาะสมที่จะมานั่งฝ่ายวางแผนและควบคุมมากกว่า" บิ๊กบอสแห่งกรุงเทพ
ชาตรี โสภณพานิชกล่าวอย่างหมายมาดตัวไว้แล้ว
ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของโฆษิตที่ก้าวเข้ามาเป็น 'ลูกจ้าง'
ในภาคการบริหารธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน หลังจากที่ครึ่งชีวิตที่ผ่านมานานนับ
27 ปีโฆษิตเป็นข้าราชการชั้นสูงที่ได้รับการยอมรับในแวดวงวิชาการและเทคโนแครต
ประสบการณ์ที่สภาพัฒน์ในฐานะรองเลขาธิการฯ คีย์แมนสำคัญในการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ทำให้บทบาทเกี่ยวกับการพัฒนาชนบทโดดเด่น จนได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยฯ
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในยุครัฐบาลอานันท์ ปันยารชุนและเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรีในยุครัฐบาล
พลเอกสุจินดา คราประยูร
"ผมไม่เคยสนใจการต่อสู้ทางการเมือง ด้วยเหตุนี้ผมจึงเลือกจะเป็นข้าราชการ
เพราะไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นอย่างไร ผมก็ทำงานได้หมด ผมเชื่อว่าเรื่องที่ผมเห็นสำคัญแม้ผมจะทำได้แค่
1% ผมก็จะทำ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมรักชีวิตข้าราชการ" นี่คือเลือดเนื้อและวิญญาณของโฆษิต
โฆษิตเป็นเทคโนแครตที่ได้รับการยอมรับในความสามารถ และประสานความคิดกับฝ่ายต่าง
ๆ ได้ ทั้งยังเป็นนักปฏิบัติที่มีผลงานพัฒนาชนบทจนเป็นที่รู้จักในวงการเมืองในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่มองระดับมหภาค
เข้าใจปัญหาระดับโครงสร้างมากกว่าคนอื่น ๆ รวมทั้งสามารถวิพากษ์เศรษฐกิจและธุรกิจฟองสบู่ได้ถึงแก่น
กล่าวกันว่าการที่โฆษิตเดินเข้ามาอยู่ในห้วงเวลาอันเป็นทางสองแพร่งของชาตรี
โสภณพนิชขณะนี้ ได้ทำให้โฆษิตถูกจับตามองบทบาทและภารกิจในฐานะ "คนนอก"
คนใหม่
"ผมได้วางเป้าหมายไว้แล้วว่า อยู่ที่ไหนก็ตามเมื่อรับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายสำเร็จแล้ว
ก็คงต้องออกจากที่นั่น โดยในองค์กรแต่ละแห่งคิดว่าจะอยู่เพียง 2-3 ปีก็พอแล้ว
แต่ในตำแหน่งดังกล่าวผมก็เคยคิดมานานแล้ว ว่าจะต้องทำให้ได้ เพราะผมอยากเข้ามาสัมพันธ์ในงานด้านนี้
ดังนั้นเมื่อมีผู้ชักชวน ผมใช้เวลาตัดสินใจไม่นานก็ตอบรับไป" อดีตรองเลขาธิการสภาพัฒน์ฯ
ผู้ที่มาทำงานกับแบงก์กรุงเทพเล่าให้ฟัง
บางทีคำพูดข้างต้นของโฆษิตนี้อาจเป็นเบื้องลึกในใจของโฆษิตที่ตัดสินใจหันหลังให้ระบบข้าราชการไทยที่ยังมีลักษณะ
"ล้อติดโคลน" มาสู่วังวนธุรกิจการธนาคารที่เป็นหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของเศรษฐกิจ
จากสายสัมพันธ์เก่าแก่กับอาสา สารสิน ผู้ชักนำโฆษิต เข้ามาเริ่มต้นในฐานะรองกรรมการผู้จัดการที่บริษัท
ผาแดง อินดัสทรี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมรากฐานของประเทศ โฆษิตได้ถูกวางตัวขึ้นสู่ผู้บริหารระดับสูงที่ผาแดง
แต่เมื่อแบงก์กรุงเทพซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในผาแดงฯ ต้องการตัวโฆษิตไปทำงาน
โฆษิตจึงได้ย้ายมาสวมหมวกใบใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการและวางแผน
เป็นงานวิชาการที่ต้องใช้ความสามารถพิเศษในการเข้าใจพฤติกรรมขององค์กรแบบแบงก์กรุงเทพที่อุ้ยอ้ายที่มีพนักงานมากที่สุด
และมีขั้นตอนมากคล้ายระบบราชการ
ดังนั้นงานยกเครื่องปรับตัวโครงสร้างองค์กรจึงเป็น "งานยักษ์"
มาก ๆ สำหรับโฆษิต !! แม้ว่าโดยประสบการณ์โฆษิตจะเคยจับโครงการยักษ์ใหญ่ระดับชาติมาแล้วก็ตาม
แต่อาจกล่าวได้ว่างานยักษ์ชิ้นใหม่นี้ โฆษิตไม่อาจเข้าไปถึงหัวใจของกิจการแบงก์พาณิชย์นี้ได้
หากไม่อาศัยบารมีบิ๊กบอสส์อย่างชาตรีและลูกหม้อเก่า
แต่โฆษิตมีแนวทางความคิดของตัวเอง ที่แตกต่างกว่าผู้บริหารแบงก์ในยุคทศวรรษที่แล้วอย่างวิระ
รมยะรูปชัยรัตน คำนวณการบริหารสายสัมพันธ์ในแนวทางเก่าของธุรกิจหมุนกระดาษได้กลายเป็นสิ่งล้าสมัยไปแล้ว
ภายใต้แรงกดดันจากสภาพแวดล้อมธุรกิจการทำกำไรของแบงก์สมัยใหม่ยุคโลกานุวัตรที่ธุรกิจไร้พรมแดน
ไทยถูกบีบให้ต้องเปิดเสรีแก่แบงค์ต่างประเทศทำให้สงครามการแข่งขันดุเดือด
ศักยภาพของการแข่งขันของแบงก์กรุงเทพจะเข้มแข็งหรือไม่ในทศวรรษใหม่? จึงขึ้นอยู่วิสัยทัศน์และความสามารถของทายาทผู้นำอย่างชาติศิริ
กับฝีมือการผ่าตัดโครงสร้างองค์กรแบงก์กรุงเทพของโฆษิต ให้แบงก์ไม่อุ้ยอ้ายและมีความคล่องตัวที่จะฉกฉวยโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงใหม่
ๆ ได้เร็ว
ห้วงเวลาเดือนกรกฎาคม ขณะที่ "คนใหม่" อย่างเช่นโฆษิตก้าวเข้ามา
"คนเก่า" อย่างวิชิต สุรพงษ์ชัยและไชย ณ ศีลวันต์พร้อมกับวาณิชธนกรอีก
9 คนก็เปิดหมวกอำลาไป ทำให้ส่วนของฝ่ายธุรกิจโครงการ ที่ไชยเคยรับผิดชอบและทำรายได้มหาศาลถึง
500 ล้านบาทในครึ่งปีนี้จากค่าธรรมเนียมในโครงการใหญ่ ๆ ฝ่ายธุรกิจโครงการนี้ต้องถูกยุบหน่วยงานไปรวมกับฝ่ายทุนธนกิจซึ่งชาติศิริทาบทาม
'คนใหม่' ศรีวิชัย ศรีสุวรรณ จากบริษัทไทยเชลล์เอ็กซพลอเรชั่น แอนด์ โปรดักชั่นเข้ามาดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการฝ่ายทุนธนกิจ
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น เป็นส่วนหนึ่งเล็ก ๆ ของการปรับตัวของแบงก์กรุงเทพยุคชาติศิริ
ช่วงต้นปีหน้า 2538 เป็นที่คาดว่าโครงสร้างการบริหารใหม่จะนำมาซึ่งความโกลาหลเป็นข่าวใหญ่อีกระลอก
เมื่อมีการสับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งผู้บริหาร
เมื่อถึงเวลานั้น โฆษิตคงจะต้องหาเกราะป้องกันตัวเองไว้ให้ดี มิฉะนั้นจะกลายเป็นแพะรับบาปไปในที่สุด
!!