นายสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่าถึงผลกระทบในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ต่อสถานการณ์การปฏิรูประบบการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่เกิดขึ้นว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในช่วงแรกแน่นอนว่าต้องเกิดผลกระทบ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะอยู่นานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการจัดการของคณะปฏิรูปการปกครองว่าจะสามารถผลักดันไปได้ดีมากน้อยอย่างไร ซึ่งหากสามารถผลักดันให้เข้าสู่ทิศทางที่ดีได้โดยเร็วก็จะช่วยให้เกิดผลดี หากช้าออกไปก็จะส่งผลต่อตลาดเช่นกัน
" เป็นธรรมดาที่จะเกิดผลกระทบต่อประเทศ ปัญหาก็คือการปฏิรูปครั้งนี้ คณะปฏิรูปจะอยู่นานแค่ไหน ซึ่งหากอยู่นานก็จะไม่ส่งผลดี ควรรีบคืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อใช้วิธีในระบบประชาธิปไตยต่อไป" นายสมเชาว์กล่าว
ส่วนเหตุการณ์ดังกล่าว จะส่งผลต่อการจัดงานมหกรรมบ้านคอนโดฯ ครั้งที่ 15 ที่จะเริ่มขึ้นระหว่างวันที่ 28 ก.ย.-1ต.ค.49 นี้ เชื่อว่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ยังอยู่ในช่วงการเลือกและตัดสินใจ แต่ในส่วนของกลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการและจำเป็นต้องซื้อบ้านก็เชื่อว่า จะยังตัดสินใจซื้อเพราะมีความจำเป็น ดังนั้นงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯที่จะจัดขึ้นต้องดำเนินการต่อไป ไม่มีการเลื่อนหรือยกเลิกการจัดงานแน่นอน
สำหรับผลกระทบที่จะเกิดต่อโครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะการก่อสร้างรถไฟฟ้านั้น เชื่อว่าเป็นโครงการที่จำเป็นและสำคัญต่อประเทศ ควรต้องมีการดำเนินการต่อ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเก่าหรือรัฐบาลใหม่ที่เข้ามา ก็ไม่ควรจะยกเลิกโครงการนี้ไป เพราต้องพิจารณาตามความจำเป็นและความต้องการของประชาชนเป็นหลัก
ด้านนายอธิป พีชานนท์ กรรมการและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)ในฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า คงมีผลกระทบกับตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่มีความจำเป็นหรือไม่รีบร้อนในการซื้อที่อยู่อาศัย อาจจะชะลอการตัดสินใจออกไประยะหนึ่ง เพื่อรอดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศมากน้อยเพียงใด แต่ในส่วนของกลุ่มลูกค้าที่มีความจำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยจริงๆ ยังตัดสินใจซื้อตามปกติ
" ผู้ที่จำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยนั้น ขอแนะนำว่าให้ซื้อในช่วงนี้เลย เพราะหากจะรอให้มีการลดราคาที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการนั้น ความเป็นไปได้แทบไม่มี และเชื่อว่าในอนาคตราคาต้องปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องมาจากราคาต้นทุนก่อสร้างทั้งวัสดุและค่าก่อสร้างมีการปรับตัวขึ้นตลอด แต่อย่างไรก็ตามในการเลือกซื้อนั้นต้องคำนึงถึงกำลังและความสามารถผ่อนส่งในระยะยาวด้วย สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อเก็งกำไร นั้นควรชะลอการซื้อออกไปก่อน หากไม่ศึกษาสถานการณ์ของตลาดให้รอบครอบจะส่งผลเสียต่อตนเองแน่นอน"
สำหรับผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เชื่อว่าจะยังดำเนินการไปตามปกติ แต่ก็ต้องมีความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจด้วย และให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุน บริหารกระแสเงินสดหรือสภาพคล่องของบริษัทไว้ เพื่อรองรับธุรกิจได้ตลอดเวลา
ทั้งนี้ ในส่วนของนักลงทุนต่างชาตินั้น มองว่าในระยะสั้นจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นบ้าง แต่ไม่น่าจะมากนัก เนื่องจากการปฏิวัติครั้งนี้ เป็นไปด้วยความสงบและเรียบร้อย ประชาชนไม่ตื่นตระหนกมากนัก ที่สำคัญพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศยังแข็งแกร่ง ถึงกระนั้นผู้รับผิดชอบทุกๆฝ่าย ควรพยายามเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา
" การจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ต้องเดินหน้าต่อไป ไม่มีการเลื่อนการจัดงานออกไป เพราะบูทต่างๆ มีการจองไว้หมดแล้ว และถือว่าเป็นงานประจำปีที่ต้องจัดอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบรรยากาศการเข้าชมงานของผู้บริโภคอาจจะเงียบเหงาบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าตัวจริง แฟนพันธุ์แท้เท่านั้นจะเข้ามาดูงาน ส่วนที่มาเดินเล่นในงานนั้นคงน้อยลงไป แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่างานนี้จะเป้นการสร้างสีสรรให้กับตลาดอสังหาฯมากกว่า "
นายอธิปกล่าวว่า เป้ายอดขายในงานมหกรรมฯปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายในงานไว้ที่ 4,000 ล้านบาท โดยยืนยันจะไม่มีการปรับลดเป้า แม้ว่าจะเกิดภาวะที่ส่งผลลบต่อการจัดงาน และคาดว่ายอดขายต่อเนื่องหลังการจัดงานจะมีเพิ่มขึ้นอีก 2-3 เท่าตัว หรืออีก 8,000-10,000 ล้านบาท เทียบเท่ากับยอดขายเพิ่มขึ้นอีก1เดือน
**บิ๊กเพอร์เฟครอประเมินสถานการณ์
นายชายนิด โง้วศิริมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า
ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินสถานการณ์ในขณะนี้ แต่หากยังไม่มีการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการและสถานการณ์มีท่าทียืดเยื้อ อาจทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่จะเข้าซื้อที่อยู่อาศัยลดลง และจะกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯ
ทั้งนี้ ในส่วนของเป้ายอดขายทั้งปีวางไว้ที่ 8,000 ล้านบาท โดยช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มียอดขายแล้วประมาณ 4,500 ล้านบาท ทำให้มั่นใจว่ามียอดขายตามเป้าหมายได้ ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีหลังน่าจะสามารถพลิกเป็นกำไรสุทธิได้ แม้ครึ่งปีแรกจะขาดทุนสุทธิ 28.27 ล้านบาท เนื่องจากมียอดขายจำนวนมากรอรับรู้รายได้ครึ่งปีหลังนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรสุทธิตั้งแต่ไตรมาส3/2549 เป็นต้นไป
" เราเชื่อมั่นว่าผลประกอบการสิ้นปีจะพลิกเป็นกำไรได้แน่ แต่อาจไม่ถึง 1,092.64 ล้านบาทเท่าปีก่อนหน้า หลังจากครึ่งปีแรกยังขาดทุน 28.27 ล้านบาท ทำให้การพลิกเป็นกำไรเท่าปีก่อนค่อนข้างลำบาก" นายชายนิดกล่าวและระบุชัดว่า
บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ ในช่วงไตรมาส 4/2549 นี้ มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาทตามแผน โดยโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว ,บ้านแฝด และคอนโดมิเนียม ในย่านรัตนาธิเบศร์ 2 โครงการ ,บางใหญ่ 1 โครงการ ,ร่มเกล้า 1 โครงการ และอ่อนนุช 1โครงการ ซึ่งจะทยอยเปิดตั้งแต่ในเดือนตุลาคมนี้
ด้านนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯ กล่าวถึงแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นว่า (Gross Margin) ปีนี้อาจลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน โดยลดลงจาก 33% ปีก่อนมาอยู่ที่ 32% ปีนี้ ทั้งนี้แม้ Gross Margin จะลดลง แต่ก็ยังสูงกว่าผู้ประกอบการรายอื่นที่มี Gross Margin อยู่ที่ประมาณ 30% ซึ่งบริษัทฯพยายามรักษาต้นทุนด้วยการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ดีต่อเนื่อง เพื่อรักษา Gross Margin ให้อยู่ระดับเหมาะสม
ทั้งนี้ บริษัทฯปรับกลยุทธ์เน้นบ้านสั่งสร้างมากกว่าบ้านพร้อมอยู่ หลังจากเห็นว่าความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันมีอยู่จำนวนมาก โดยในปีนี้รุกบ้านสั่งสร้างเพิ่มขึ้นวางเป้าขยับสัดส่วนจาก 15% ปีก่อนมาอยู่ที่ 40% ปีนี้ ขณะที่ลดบ้านพร้อมอยู่ลงจากสัดส่วน 85% ในปีก่อน มาเป็น60% ปีนี้
" ทิศทางความต้องการลูกค้าเลือกสะดวกสบายมากขึ้น และเราก็เปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงสไตล์ที่อยู่อาศัยที่ต้องการเอง เพราะเห็นว่าตลาดนี้ยังโตมาก โดยวางเป้ายอดขายปี 2550 จะมากกว่า 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะมียอดขาย 8,000 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายขยายตัวเพื่อรอรับรู้รายได้จำนวนมาก เบื้องต้นคาดว่าจะมียอดขายจากคอนโดมิเนียม 4,000 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว ทาวเฮาส์ รวมถึงบ้านแฝด 6,000 ล้านบาท ' ดร.ธีระชน กล่าว
นายธีระชน กล่าวด้วยว่า สิ้นปีนี้จะจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างแน่นอน ตามนโยบายปันผล 50% ของกำไรสุทธิ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจ่ายในอัตราเท่าใด หรือสูงกว่าปีก่อนที่ 0.35 บาท/หุ้นได้หรือไม่ เนื่องจากต้องรอดูผลประกอบการครึ่งปีหลังประกอบ
**ทัวร์จีนสูญกว่า 500 ล้านบาท
นายวิชิต ประกอบโกศล รองนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ดูแลตลาดจีน กล่าวว่า ขณะนี้มีการยกเลิกทริปทัวร์จากประเทศจีนที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยในช่วง 1-2 วันนี้แล้ว และเชื่อว่า ใน 7 วัน หรือ 1 สัปดาห์นับจากที่มีประกาศของคณะปฎิรูปการปกครองฯ จะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ยกเลิกแผนที่จะเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยราว 80-90% สูญเสียรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท ทั้งนี้เพราะตลาดจีนค่อนข้างอ่อนไหวกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็เป็นตลาดที่กลับสู่ปกติได้เร็วเช่นกัน
แต่ทั้งนี้เชื่อว่า การตัดสินใจของคณะปฎิรูปการปกครองการปกครองฯ จะเป็นเรื่องที่ดีในระยะยาว เพราะทำให้การเมืองของประเทศไทยเกิดความชัดเจน โดยส่วนตัวเชื่อว่า วิธีนี้จะทำให้ทุกอย่างสงบลงได้โดยเร็ว โดยเฉพาะความแตกแยกในสังคมไทยที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งธุรกิจท่องเที่ยว หากรัฐบาลมีความมั่งคง มีนโยบายชัดเจน ความเชื่อมั่นก็กลับมาไว ประกอบกับภาพการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้ เป็นภาพที่สงบ ไม่มีความรุนแรง หรือปะทะ เกิดขึ้น จึงถือว่าดี และอนาคตการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของประเทศไทยจะดีขึ้นกว่าในอดีต
นายเอนก ศรีชีวะชาติ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว และเจ้าของบริษัทนำเที่ยว ไทยสิน เอ็กซ์เปรส จำกัด เปิดเผยว่า กรุ๊ปทัวร์จากประเทศญี่ปุ่น ได้ขอยกเลิกการเดินทางเข้ามาประเทศไทยบ้างแล้ว เช่น ในวันที่ 23 ก.ย.49 ก็มียกเลิก 1 ทริป แต่มองว่าสถานการณ์แบบนี้จะเป็นเพียงระยะสั้น ซึ่งระหว่างนี้รัฐควรออกมาชี้แจงข้อมูลให้ชัดเจน เด่นชัดว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรบ้าง เพราะนักท่องเที่ยวที่ยังรีรอว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี จะได้ตัดสินใจได้ถูกต้อง และไม่
**แอตต้าเชื่อไม่กระทบท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น
นายอภิชาติ สังฆอารีย์ นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) เปิดเผยว่า ขอดูสถานการณ์อีกสักระยะหนึ่ง จึงจะสามารถตอบได้ว่าจะกระทบธุรกิจท่องเที่ยวมาก-น้อยเพียงใด แต่โดยส่วนตัวมองว่า เป็นการตัดสินใจที่ดี เพื่อให้การเมืองของประเทศไทยมีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งหากคณะปฎิรูปฯ มีการทำงานที่ชัดเจน รวดเร็ว กล่าวคือสามารถกำหนดการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร์และจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว ก็จะไม่กระทบกับภาคท่องเที่ยว
สำหรับช่วงไฮซีซั่นปี ที่จะเริ่มในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งเชื่อว่าถึงขณะนั้นสถานการณ์ทุกอย่างคงเข้าสู่ภาวะปกติ โดยล่าสุด ณ ขณะนี้ ก็ยังไม่มีการยกเลิกแผนเข้ามาเที่ยวประเทศไทยในช่วงปลายปีของกลุ่มนักท่องเที่ยวในตลาดยุโรป
**แอร์เอเชียยันผู้โดยสารยังใช้บริการแน่น
นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า ลูกค้าของแอร์เอเชีย ไม่มีการยกเลิกการเดินทาง ทั้งขาไปและขากลับ ในทุกเส้นทางบินทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีเพียงผู้โดยสารบางรายเท่านั้น ที่ขอเลื่อนการเดินทางออกไปอีก 4-5 วัน คิดเป็นไม่ถึง 1%ของจำนวนลูกค้าผู้โดยสารของแอร์เอเชีย ซึ่งถือว่าน้อยมาก สะท้อนให้เห็นว่า สถานการณ์ขณะนี้ไม่ได้กระทบต่อการเดินทางเพื่อทำธุรกิจหรือเพื่อท่องเที่ยวมากนัก
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของที่มีกระแสข่าวว่า จะเลื่อนกำหนดเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ทางแอร์เอเชียก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ ไม่มีปัญหา ขอให้มีการประกาศมาให้ชัดเจน ซึ่งแอร์เอเชีย มีแผนที่จะย้ายออฟฟิศในวันอาทิตย์ ซึ่งหากยังไม่เปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ก็จะยังไม่ย้ายออฟฟิศ
**ไทยเบฟฯรอดูสถานการณ์
นายสมชัย สุทธิกุลพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ไทยเบฟเวอเรจมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาทิ เบียร์ช้าง เปิดเผยถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า แม้ว่าคณะปฏิรูปได้ทำการยึดอำนาจปกครองในรัฐบาลรักษาการนายกทักษิณ ชินวัตรเมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมานี้ แต่ขณะนี้คงต้องรอดูความชัดเจนอีกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในประเทศ รวมทั้งพฤติกรรมความเชื่อมั่นของคนในประเทศ และนักลงทุนจากต่างประเทศว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งปัจจัยทั้งหมดจะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต พร้อมกันนี้ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่าขณะนี้คงได้แต่รอดูสถานการณ์ความคืบหน้าที่จะเกิดขึ้นวันต่อวัน จากประกาศของคณะปฎิรูปฯ เท่านั้น
**อีเว้นท์คาดชะลอ 1 เดือน
นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานกลุ่มอีเว้นท์แมเนจเมนท์ (Event Management Clubหรือ EMC) กล่าวว่า หากมองในแง่ของมุมมองภาคประชาชน วูบแรกคงเกิดอาการช็อก แต่คาดว่าในช่วง 2 วันจากนี้ก็เปลี่ยนไปเกิดเป็นการมีความหวังใหม่ขึ้นมา เพราะว่าถ้าทางออกเป็นอย่างนี้ความรู้สึกของประชาชนทั่วไปไม่ได้หนักใจกว่าเดิมมากนัก อาจจะมีผลทางบวกด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
ส่วนการใช้เงินในภาคประชาชนนั้นคงจะไม่ถึงกับหยุด เศรษฐกิจโดยรวมคงไม่กระทบมากเท่าใด การใช้เงินยังมีต่อเนื่องแต่อาจจะหยุดชะงักช่วงเวลาสั้น ๆ
"ผมมองว่า ในภาพรวม โดยเฉพาะธุรกิจอีเวนท์ อาจจะมีผลกระทบโดยตรงมากกว่าธุรกิจอื่น คาดว่าตลาดจะชะลอไปนานกว่า 1 เดือน ในเบื้องต้นนี้ คงต้องรอดูสถานการณ์ว่ารัฐบาลใหม่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร ตอนนื้ทราบว่า มีหลายผลิตภัณฑ์ที่หยุดกิจกรรมกันหลายโครงการแล้ว"
**เครื่องใช้ไฟฟ้ายังดีอยู่
นายวศิน มงคลชีพ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็นอีซี คอปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความต้องการการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้ายังมีอยู่จึงมองว่า ภาพรวมของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นจะไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างไร ในขณะที่ตลาดค้าปลีกนั้นมองว่าในช่วง 2-3 วัน หรือ ภายใน 1 เดือนนี้ จะสโลว์ลง เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ชะลอการจับจ่ายใช้สอย ยังรอดูสถานการณ์อยู่ว่าจะไปในทิศทางใด
ในขณะที่รายได้ของบริษัทฯในปีนี้นั้น มองว่ายังคงเติบโตเป็นไปตามเป้าที่ 30% ตามที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี แต่ถ้าสภาพเศรษฐกิจดำเนินไปตามปกติ ไม่ประสบกับภาวะการณ์ต่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานั้น เชื่อมั่นว่าปีนี้บริษัทฯจะต้องมีการเติบโตสู.ถึง 40-50% อย่างแน่นอน สืบเนื่องมาจากปี 2548 ที่บริษัทฯได้มีการปรับโครงการผู้บริหารในระดับโกลบอล รวมทั้งเพิ่มไลน์สินค้าเน้นเทคโนโลยีในการทำตลาดนั้นเอง
**ญี่ปุ่นหยุดผลิตรถ หวั่นปฏิวัติกระทบ
จากการรายงานข่าวของ สำนักข่าว เอเอฟพี ประเทศญี่ปุ่น ว่า 3 บริษัทฯ ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ ได้แถลงหยุดการผลิตรถยนต์ชั่วคราวของโรงงานในประเทศไทย นำโดยโตโยต้า ,ฮอนด้า และนิสสัน ซึ่งในรายงานข่าวกล่าวว่า “เราทราบเรื่องการทำรัฐประหารและกำลังรวบรวมข้อมูลของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์และการขายอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจำเป็นต้องตัดสินใจหยุดเพื่อรอดูความชัดเจนของผลกระทบที่จะเกิดขึ้น”
สำหรับเรื่องนี้ทางหนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการรายวัน” ได้สอบถามไปยัง 3 ค่ายรถดังกล่าว ปรากฎว่าเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะค่ายนิสสันมีการหยุดกำลังการผลิตทั้ง 2 กะ ขณะที่โตโยต้าจะปิดเฉพาะช่วงกลางคืน ส่วนค่ายฮอนด้าหยุดการผลิตในช่วงกลางวันของวานนี้ (20 ก.ย.) แต่สำหรับกะกลางคืนจะทำการผลิตรถเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ไม่ได้รุนแรงอย่างที่คาดเอาไว้ ซึ่งค่ายรถทั้ง 3 รายจึงยืนยันว่า จะกลับมาผลิตได้เหมือนเดิมภายในวันนี้ (21 ก.ย.)
|