Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์17 กันยายน 2549
รถไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินนักการเมือง เผยโฉมจอมบงการ เสกรถไฟฟ้าสายใหม่             
 


   
search resources

Transportation




- เบื้องหลังตัดเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหบือง หวังปั่นราคาที่ดินทะยานยึดรูปแบบที่ดินย่านสุวรรณภูมิ
- ผลประโยชน์มหาศาล ฉวยโอกาสผสมโรงจากแผนรถไฟฟ้า 7 สายเดิม
-สนข.มึน แต่ต้องสนองบิ๊กไทยรักไทย
-ซีคอนสแควร์ ส้มหล่นผุดคอมเพล็กซ์ยักษ์ ขนานรถไฟฟ้า

ขณะที่กระแสข่าวการลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้า 7 สาย หรือ 10 สายมีให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากฟากพรรคไทยรักไทย และฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อช่วงชิงความนิยมจากคนกรุงเทพฯและปริมณฑล ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่กำลังจะเกิดขึ้นในราวเดือนพ.ย.นี้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก

แต่สิ่งที่หลายคนมองข้ามไป นั่นคือ “ที่มาที่ไปของขอบข่ายการลงทุนรถไฟฟ้า ทั้ง 10 สาย ระยะทางรวมกว่า 300 กิโลเมตร ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และหากมีการลงทุนจริง ใครคือผู้ได้ประโยชน์ตัวจริง? และได้มากที่สุด”

จริงอยู่ !! แม้ว่า ประเทศไทยจะมีนโยบายการลงทุนโครงการระบบขนส่งมวลชนระบบรางมานานราว 12 ปี ตั้งแต่สมัยชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2537 แต่กรุงเทพฯเพิ่งจะมีรถไฟฟ้าลอยฟ้าใช้ครั้งแรกในปี 2542 คือรถไฟฟ้า BTS สายหมอชิต-อ่อนนุช และสายสนามกีฬาแห่งชาติ- สาทร และเมื่อความต้องการใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จึงมีการลงทุนรถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคล ซึ่งเท่ากับว่าจวบจนทุกวันนี้ กรุงเทพฯมีรถไฟฟ้าใช้แค่ 2 เส้นทางเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะไม่เพียงพอต่อความต้องการแล้ว แขนขาโครงข่ายที่ยื่นออกไปยังไปไม่ถึงชานเมืองทุกทิศ จึงทำให้รถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย มีผู้โดยสารแต่ละวันไม่เข้าเป้า

“รถไฟฟ้า BTS มีผู้ใช้บริการเฉลี่ยวันละไม่ถึง 300,000 คน จากเป้าที่ตั้งไว้ว่าจะมีผู้โดยสารมากถึง 500,000 คน ส่วนรถไฟฟ้าใต้ดินไม่ต้องพูดถึงมีผู้โดยสารบางตา เฉลี่ยแค่วันละไม่ถึง 200,000 คน ต่ำกว่าเป้าหมายกว่าครึ่ง”

สำหรับเส้นทางรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ ที่แม้ว่าจะมีการสำรวจไปพร้อมๆ กับ 2 เส้นทางแรก เรื่องถูกดองเก็บไว้ในลิ้นชักแถมล็อคกุญแจอย่างแน่นหนาอยู่ที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข.มานานหลายปี

จนกระทั่งเมื่อราว 1-2 ปีก่อน พรรคไทยรักไทยเห็นว่า หากจะได้รับความนิยมจากคนกรุงเทพฯ จะต้องใช้ลงทุนโครงการรถไฟฟ้าทุกทิศในกรุงเทพฯเชื่อมต่อในเมืองและชานเมืองเป็นธงนำ จึงชูนโยบายลงทุนรถไฟฟ้าเชื่อมต่อถึงกันจากรอบกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นเครื่องมือในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

คำสั่งสายฟ้าฟาด

ครั้งนั้น พรรคไทยรักไทยชูนโยบายลงทุนรถไฟฟ้า 7 เส้นทาง และเมื่อใกล้จะถึงเวลาเลือกตั้ง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรค และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในยุคนั้น กลับประกาศนโยบายเพิ่มแบบสายฟ้าฟาด จนแม้กระทั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ทำงานด้านนี้โดยตรงยังไม่รู้เรื่องมาก่อนว่าจะขยายการลงทุนเป็น 10 เส้นทาง จากเดิมที่ประกาศไว้แค่ 7 เส้นทาง

“7 เส้นทางที่เคยประกาศก็พอจะเข้าใจว่าเส้นทางไหนเป็นเส้นทางไหน แต่อีก 3 เส้นทาง แม้แต่เจ้าหน้าที่ในสนข.ยังงง ไม่รู้ว่าคือเส้นไหน เพราะไม่เคยมีการศึกษาข้อมูลการลงทุน หรือสำรวจแนวทางมาก่อน รวมถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อมีการประกาศนโยบายออกมาจากรัฐบาล คงต้องเร่งสำรวจแนวทางต่อไปในฐานะที่เป็นข้าราชการประจำต้องปฏิบัติตามนโยบายของข้าราชการการเมืองที่กำกับดูแลโดยตรง”แหล่งข่าวจากสนข.ระบุ

สำหรับ 3 เส้นทางใหม่ ประกอบด้วย สายสีเหลือง สีน้ำตาล และสีชมพู เป็นแนวทางใหม่จริงๆ เพราะในทางปฏิบัติไม่น่าจะทำได้ตามที่พรรคไทยรักไทยประกาศ เพราะขนาดเส้นทางที่มีการสำรวจมานานกว่า 10 ปี อย่างสายสีม่วง สายสีน้ำเงิน และสายสีแดง ความคืบหน้าของการลงทุนก่อสร้างยังเพิ่งจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเมื่อไม่นานมานี้เอง

“หาก 3 เส้นทางใหม่ มีการลงทุนจริงคงเป็นเรื่องประหลาด แต่คิดว่าจะไม่มีการลงทุนอย่างแน่นอน อย่างน้อยในช่วงกรอบการลงทุน 6 ปี ที่รัฐบาลกำหนด เว้นแต่จะดื้อดันทุรังทำต่อไป เพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง”

หวนกลับมาพิจารณาเส้นทางเดินรถสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-ศรีนครินทร์-สำโรง) นั้นเป็นเส้นทางที่สนข.ไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน เส้นทางเป็นส่วนที่เชื่อมต่อจากสายสีน้ำเงิน เริ่มจากสี่แยกรัชดา-ลาดพร้าว เป็นโครงสร้างอุโมงค์ ไปตามแนวถนนลาดพร้าว และเลี้ยวขวาที่ถนนศรีนครินทร์ ผ่านแยกลำสาลี แล้วจะเริ่มยกระดับขึ้นบริเวณถนนศรีนครินทร์ เลี้ยวขวาไปตามแนวถนนเทพารักษ์ จนถึงสำโรง มีจำนวน 20 สถานี (อยู่ระหว่างการศึกษา)

สีเหลืองไม่เคยอยู่ในกรอบลงุทน

การเร่งสำรวจเส้นทางเดินรถสายสีเหลือง เป็นเพราะสมัยที่สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นั่งเก้าอี้ตัวใหญ่อยู่ที่กระทรวงหูกวาง ได้ประกาศิตให้สนข.เร่งสำรวจเร่งทางเดินรถดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อที่จะให้มีการเดินรถผ่านเส้นทางนี้ ซึ่งตรงนี้สร้างความหนักใจให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่สนข.อย่างมาก แต่ไม่มีใครกล้าออกโรงคัดค้าน

แหล่งข่าวจาก สนข. กล่าวกับ”ผู้จัดการรายสัปดาห์”ว่า ที่ผ่านมาสนข.ได้สำรวจเส้นทางเดินรถไว้หลายสาย ซึ่งทุกสายมีความสำคัญ มีปัญหาจราจรติดขัดจนเป็นอัมพาต อีกทั้งยังเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังแหล่งชุมชน ย่านที่พักอาศัย ทำให้มีความต้องการใช้ขนส่งมวลชนระบบราง

ขณะที่สายสีเหลืองไม่ได้อยู่ในกรอบที่สนข.เคยสำรวจ แต่ที่ต้องเร่งสำรวจในช่วงก่อนหน้านี้ (ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า ) เพราะได้รับคำสั่งจากผู้บริหารสูงสุดของกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น ซึ่งปัจจุบันย้ายไปนั่งที่กระทรวงอุตสาหกรรม

แม้ว่าจะได้รับคำสั่งอย่างเร่งด่วน แต่ด้วยเวลาที่จำกัด และบุคลากรที่มีน้อย ทำให้สนข.สำรวจได้แค่เส้นทางการเดินรถเท่านั้น ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ยังไม่มี ไม่ว่าจะเป็นปริมาณผู้โดยสารที่คาดว่าจะใช้ระบบขนส่งมวลชนระบบราง ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เห็นได้จากคู่มือที่สนข.ทำขึ้น เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจ และประชาชนทั่วไปที่ยังไม่มีรายละเอียดที่แน่นอนของเส้นทางเดินรถสายสีเหลือง รวมถึงสายสีน้ำตาล และสีชมพู ซึ่งต่างจาก 7 เส้นทางเดิม มีรายละเอียดพร้อมที่จะลงทุนทันที หากรัฐบาลมีความพร้อม และประชาชนต้องการ

จากคำสั่งด่วนที่ได้รับให้สำรวจอย่างเร่งด่วนนั้น เพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าบริเวณถนนศรีนครินทร์ มีที่ดินของกลุ่มทุนทางการเมือง และนักธุรกิจการเมืองหลายกลุ่ม อาทิ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รักษาการรอง

นายกรัฐมนตรี และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีที่ดินราว ๆ 2,000 ไร่ รวมถึงก๊วนไทยรักไทย เช่น กลุ่มประยุทธ์ มหากิจศิริ เจ้าของอาณาจักรเนสกาแฟ ที่มีที่ดินบริเวณถนนบางนา-ตราด ใกล้สนามบินที่จะได้รับอานิสงส์จากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองแบบอ้อม ๆ ด้วย เพราะที่ดินส่วนใหญ่อยู่บนถนนบางนา-ตราด

ราคาที่ศรีนครินทร์จ่อคิวขยับขึ้น

แหล่งข่าว กล่าวว่า หากมีการลงทุนรถไฟฟ้าสายสีเหลืองจริง ๆจะทำให้ราคาที่ดินในย่านศรีนครินทร์ปรับสูงขึ้นทันที เช่นเดียวกับการเปิดเส้นทางเดินรถไฟฟ้าบนดิน และมุดดิน ที่ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนที่โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และปัจจุบันราคายังไม่นิ่ง ยังขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่แม้ว่าปัจจุบันจะเปิดเดินรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลมานานเกือบ 3 ปีแล้ว แต่ราคาที่ดินหลายแปลงยังไม่หยุดนิ่ง ยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดิม

“บริเวณถนนศรีนครินทร์ ปัจจุบันราคาที่ดินปรับสูงขึ้นมาก หากเทียบกับช่วง 4-5 ปีก่อน เฉลี่ยอยู่ที่ 60,000-70,000 ตร.วา เพราะนอกจากความเจริญจะเข้าไปถึงแล้ว ยังมีสนามบินสุวรรณภูมิที่กำลังจะเปิดให้บริการในปลายเดือนก.ย.นี้อีก และหากมีการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าจริง ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างมหาศาล”แหล่งข่าวในวงการอสังหาริมทรัพย์ให้ความเห็น

ราคาที่ดินที่ขยับขึ้น จะทำให้เจ้าของที่ดินรวยขึ้นทันทีโดยที่ยังไม่ได้ลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น และเชื่อว่าจะมีการซื้อเพื่อเก็งกำไรเช่นเดียวกับการเก็งกำไรที่ดินบริเวณสนามบินสวรรณภูมิในช่วงก่อนหน้านี้ด้วย

ทำเพื่อตัวเอง-พวกพ้องหรือประชาชน

การเร่งให้สนข.สำรวจเส้นทางสายสีเหลือง เป็นการกำหนดนโยบายเพื่อตัวเอง และพวกพ้องมากกว่าเห็นถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน แม้ว่าจะนำประชาชนมาอ้างว่าเป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ ปัญหาจราจรติดขัดจนเป็นอัมพาต เพราะเพียงแค่ประกาศว่าจะมีการลงทุนโครงการรถไฟฟ้า ราคาที่ดินก็เริ่มปรับตัวสูงขึ้นแล้ว ขณะที่กว่าประชาชนจะได้ใช้รถไฟฟ้าต้องรออีกไม่รู้กี่ปี

แหล่งข่าวจากสนข. กล่าวว่า “ตามกรอบการลงทุนของไทยรักไทยที่ประกาศว่า จะลงทุนรถไฟฟ้าภายใน 6 ปี คงจะไม่ทันแน่นอน เพราะการก่อสร้างจะต้องค่อยๆ ลงทุนครั้งละ 2-3 เส้นทาง ไม่สามารถลงทุนได้พร้อมกัน เพราะนอกจากจะไม่มีเงินลงทุนแล้ว ยังจะเกิดปัญหาจราจรอย่างหนักด้วย ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะไม่สามารถก่อสร้างสายสีเหลืองได้ทันตามที่พรรคไทยรักไทยต้องการ”

ในส่วนของสายสีชมพูและสายสีน้ำตาลก็เช่นเดียวกัน เป็นเส้นทางสายสนข.ไม่เคยสำรวจมาก่อน แต่ที่ต้องสำรวจโดยด่วน เพราะได้รับคำสั่งมา และหากจะให้สำรวจเพิ่มเฉพาะสายสีเหลืองนั้นไม่เหมาะสม จึงสั่งให้สำรวจเพิ่มพร้อมกัน 3 เส้นทาง เพื่อไม่ให้สังคมครหา หรือถูกต่อต้านจากฝ่ายค้าน และนักวิชาการ

การสั่งเพิ่มเส้นทางอีก 2 สาย ก็สามารถนำมาอ้างต่อได้ว่าจะเชื่อมต่อกันเป็นระบบทั้ง 3 สาย โดยสายสีเหลืองบริเวณรัชดา-ลาดพร้าวเชื่อมต่อกับสายสีน้ำเงิน ระหว่างเส้นทางเดินรถช่วงแยกลำสาลีตัดกับสายสีส้ม บางกะปิ-บางบำหรุ ส่วนสายสีน้ำตาล จะรับผู้โดยสารจากแยกลำสาลีไปส่งที่มีนบุรี ที่มาบรรจบกับสายสีชมพูบริเวณมีนบุรี ซึ่งเท่ากับว่า 3 สายใหม่ที่จะลงทุนก่อสร้างจะเชื่อมต่อรับ-ส่งผู้โดยสารอย่างลงตัว ลบคำครหาของสังคม และฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีเหตุมีผล โดยที่ไม่มีใครมองเกมของสุริยะ ออก

นอกจากนี้ เส้นทางสายสีชมพู ซึ่งเป็นสายทางแคราย-สุวินทวงศ์ การเดินรถจะมาจากแคราย เข้าปากเกร็ดเดินรถถนนแจ้งวัฒนะเชื่อมเข้าถนนรามอินทรามาบรรจบที่มีนบุรี ซึ่งเส้นทางเดินรถก็ผ่านบริเวณโครงการบางกอก บลูเลอวาร์ด ของบมจ.เอส.ซี.แอสเสท ของครอบครัวนายกฯทักษิณ ชินวัตร รวมถึงแลนด์แบงก์ที่ยังเหลืออีกหลายร้อยไร่ ซึ่งหากมีรถไฟฟ้าสายสีชมพูผ่านโครงการบางกอก บลูเลอวาร์ดจะได้รับผลดีตามไปด้วย รวมถึงราคาที่ดินจะขยับขึ้นไปอีกมาก

***************

ซีคอนปั้นคอมเพล็กซ์ยักษ์รับรถไฟฟ้า+สุวรรณภูมิ

ซีคอน ปรับโฉมศูนย์การค้า ยกระดับไฮเอนด์ เพิ่มร้านอินเตอร์แบรนด์ ดูดเงินลูกค้าเศรษฐี ที่มาพร้อมกับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสนามบินสุวรรณภูมิ คาดทราฟฟิกเพิ่ม 200,000 คนต่อวัน

ถนนศรีนครินทร์เคยได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นทำเลทองเป็นถนนสายธุรกิจเมื่อ 12 ปีที่แล้ว แต่หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจความเจริญต่างๆก็ชะลอลงไป มีเพียงศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 2 แห่งที่ตั้งไม่ห่างไม่ไกลกันมากนักก็คือซีคอนสแควร์ และเสรีเซ็นเตอร์ และก็มีการเกิดขึ้นของที่พักอาศัยมากมาย ทำให้ถนนสายดังกล่าวมีความหนาแน่นของประชากรมาก รวมถึงมีโรงแรมเกิดขึ้น 2-3 แห่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะผลักดันให้ถนนศรีนครินทร์เป็นถนนสายธุรกิจได้เนื่องจากยังไม่มีออฟฟิศบิลดิ้งหรืออาคารสำนักงานเกิดขึ้น

ปัจจัยหลักที่ทำให้ไม่มีอาคารสำนักงานก็คือสภาพการจราจรที่ติดขัด ความไม่สะดวกในการเดินทางติดต่อธุรกิจทำให้ไม่มีใครสนใจมาตั้งสำนักงาน รวมถึงที่ดินมีราคาแพง ทำให้นักพัฒนาที่ดินลังเลที่จะลงทุนสร้างอาคารสำนักงาน ประกอบกับค่าเช่าอาคารสำนักงานในย่านนี้มีราคาต่ำเพียง 200-300 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น จึงไม่คุ้มต่อการลงทุน แต่เมื่อมีรถไฟฟ้าเข้ามาแก้ปัญหาการจราจรให้คลี่คลายได้ก็เชื่อว่าจะมีอาคารสำนักงานเกิดขึ้นตามมามากมาย ซึ่งในส่วนของซีคอนสแควร์เองก็มีแผนที่จะสร้างซีคอน ซิตี้ ซึ่งประกอบไปด้วยคอนโดมิเนียม ที่พักอาศัย โรงแรม ศูนย์การค้าขนาดเล็ก และอาคารสำนักงาน

"ปัจจุบันถนนศรีนครินทร์เหมือนรัชดาในยุคเริ่มต้น ยังมีที่ดินว่างเปล่าที่ไม่ได้มีการลงทุนใดๆ เนื่องจากรถติดทำให้การเติบโตของถนนสายนี้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ถ้ามีรถไฟฟ้ามาลงก็จะทำให้ย่านนี้มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะรถไฟฟ้าจะดึงคนมา เมื่อคนมาธุรกิจก็ตามมาด้วย ก็เหมือนลาดพร้าวเมื่อ 20 ปีก่อนเงียบเหงาเป็นชานเมืองแต่พอมีรถไฟฟ้า มีระบบการจราจรที่ดีก็มีบรรยากาศทางธุรกิจแบบในเมืองเกิดขึ้น" จรัญ ผู้พัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ สำนักลูกค้าสัมพันธ์และสื่อสารการตลาด บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าว

การปรับตัวของซีคอนเพื่อรองรับความเจริญที่กำลังจะมาถึงเช่นการเตรียแมแผนที่จะปรับบรรยากาศในศูนย์การค้าให้มีความสวยงามมากขึ้น รวมถึงการปรับรูปแบบร้านค้าให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น โดยร้านค้าเพียง 20% ที่เป็นสัญญาเซ้งระยะยาว แต่อีกกว่า 80% เป็นลักษณะสัญญาเช่า 3 ปีซึ่งมีบางส่วนที่กำลังจะหมดสัญญาทำให้บริษัทสามารถปรับเปลี่ยนร้านใหม่ๆเข้ามาได้โดยเฉพาะระดับอินเตอร์แบรนด์และโลคัลแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ดี เช่น ภัตตาคารฟูจิ สตาร์บัคส์ และไนกี้ นอกจากนี้ยังมีการปรับโซนนิ่งในศูนย์การค้าเพื่อรองรับครอบครัวรุ่นใหม่เช่นการเพิ่มพื้นที่ติวเตอร์สแควร์สำหรับครอบครัวใหม่ที่มีลูกเล็ก รวมถึงการเพิ่มพื้นที่โซนไอทีเป็น 2 ชั้น

"จุดดึงดูดลูกค้าของศูนย์การค้าประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลักคือ ความสะดวกต้องมาก่อน การมีรถไฟฟ้าจะทำให้ลูกค้าที่อยู่ไกลออกไปสามารถเดินทางมาที่ศูนย์ฯของเราได้ง่ายขึ้น ถี่ขึ้น แต่เราก็ต้องมีสินค้าที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วย เราจึงมีการปรับเปลี่ยนร้านค้าใหม่ๆเข้ามา และสุดท้ายมาร์เก็ตติ้งโปรโมชั่นที่จะดึงดูดความสนใจของลูกค้า" จรัญ กล่าว

นอกจากการเข้ามาของรถไฟฟ้าแล้ว ถนนศรีนครินทร์ยังได้รับอานิสงส์จากการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิเนื่องจากผู้ที่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับธุรกิจการบินกว่า 20,000-30,000 คนเริ่มย้ายที่อยู่มาอาศัยในย่านศรีนครินทร์มากขึ้น ประกอบกับโครงการบ้านจัดสรรที่มีราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทไปถึง 20 ล้านบาท ขายดีขึ้น หลายโครงการมียอดจองเกือบเต็ม ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะทำให้โครงสร้างลูกค้าเปลี่ยนไปโดยซีคอนคาดว่าจะมีลูกค้าระดับบนเพิ่มจาก 30% เป็น 40% ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าระดับกลาง พร้อมกันนี้ยังคาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีทราฟฟิกในศูนย์การค้าเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งปกติจะโตเพียง 7% เท่านั้น โดยสาเหตุใหญ่มาจากเรื่องของราคาน้ำมันทำให้วันหยุดคนพักผ่อนในเมืองมากกว่าออกต่างจังหวัดโดยจะมาหาความบันเทิงตามศูนย์การค้าเป็นหลัก

นอกจากนี้การเกิดขึ้นของสนามบินสุวรรณภูมิหรือมีรถไฟฟ้าตัดผ่านก็จะทำให้ทราฟฟิกในซีคอนโดยเฉพาะช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เพิ่มเป็น 200,000 คนต่อวันจากเดิมที่มีคนเข้ามาใช้บริการ 60,000-80,000 คนในวันธรรมดา และ 150,000-170,000 ในวันเสาร์อาทิตย์   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us