ไม่มีการจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนเริ่มทำกันครั้งแรกเมื่อใด
แต่จากคำบอกเล่าปากต่อปากของคนด่านเกวียนเองระบุว่า ได้เริ่มทำกันเมื่อ 2-3
ช่วงอายุคนย้อนหลังโดยชาวด่านเกวียนจะใช้เวลาว่างจากการทำนามาปั้นเครื่องใช้ไม้สอยภายในครัวเรือน
คือ ครก โอ่ง ไห ถ้วย ชาม ที่เหลือนำไปแลกสินค้าจากชุมชนอื่น ที่ในบ้านด่านเกวียนไม่มี
เช่นขนขึ้นเกวียนนำไปแลกปลาร้าทางเขมรต่ำ หรือประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน และถือปฏิบัติกันเช่นนั้น เรื่อยมา
ปี 2484-2485 ในยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ระบบการค้าก็ได้เริ่มคืบคลานเข้าสู่ชุมชนบ้านด่านเกวียน
จากผลนโยบายชาตินิยม ส่งเสริมให้ใช้ของไทย และยุคที่รุ่งเรืองที่สุด ซึ่งถือเป็นยุคที่ทำให้บ้านด่านเกวียนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางยาวนานจนถึงปัจจุบันนี้คือ ยุคสงครามโลกครั้ง ที่
2 คือ ในช่วงปี 2485 นั่นเอง
คนไทยในรุ่นนั้น คงไม่มีใครไม่รู้จักตะเกียงน้ำมันหมูจากบ้านด่านเกวียน
เพราะระหว่างสงครามน้ำมันก๊าดขาดแคลน ราคาแพงยิ่งกว่าทองคำ จึงต้องใช้ตะเกียงบรรจุน้ำมันหมูแทน
ทำให้ตะเกียงน้ำมันหมูจากด่านเกวียนกระจายไปทั่วเมือง
แต่หลังสงครามสิ้นสุดลง คนหันกลับไปใช้น้ำมันก๊าดกันเช่นเดิม ตะเกียงน้ำมันหมู ซึ่งมีข้อเสียคือ
ควันดำ และเหม็นอยู่แล้วจึงมีการใช้น้อยลง พร้อมๆ กับการหายไปของตะเกียงด่านเกวียน
การฟื้นคืนชีพอีกครั้งของเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนได้เกิดขึ้นพร้อมๆ
กับการก่อตั้งของวิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ปัจจุบันคือ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล)
ในปี 2500 ราว 40 กว่าปีที่ผ่านมา กลุ่มครูบาอาจารย์ ที่ได้ร่ำเรียนทฤษฎีทางด้านศิลปะ
ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ออกแบบให้เครื่องปั้นดินเผาตอบสนองการใช้งานได้กว้างขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้องปูพื้น หรือแม้แต่การใช้เป็นองค์ประกอบตกแต่งสวน รวมถึงความพยายามในการออกแบบเครื่องประดับประเภทสร้อยคอ
กำไล ซึ่งเครื่องประดับเหล่านี้กว่าจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายก็ใช้เวลากว่า
20 ปีเช่นกัน
ปี 2524-2525 เป็นปีที่เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนได้รับการยอมรับจากตลาดสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง
หลังยุคสงครามโลกครั้ง ที่ 2 เป็นต้นมา
แต่หลังจากนั้น ไม่กี่ปีความนิยมในเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนก็เริ่มตกต่ำอีก
ด้วยเหตุ ที่ไม่มีการพัฒนารูปแบบ และเทคนิคการใช้สีเคลือบผลิตภัณฑ์นั่นเอง
นักตกแต่งบ้านจำนวนไม่น้อยเห็นว่าเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนคงโทนสีเข้มเกินไป
ขณะที่ความนิยมงานศิลปะในช่วงนั้น ปรับไปนิยมสีอ่อนเน้นการผ่อนคลายของอารมณ์
อย่างไรก็ตามในปี 2527 พิศ ณ ป้องเพชร นักศึกษา ที่เพิ่งจบศาสตร์ด้านเซรามิกจากประเทศญี่ปุ่นได้เข้ามาเป็นอาจารย์ประจำ
สอนด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่วิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่ปี
2523 ได้นำเอาเทคนิคใหม่ๆ จากต่างประเทศเข้าไปพัฒนาเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน
นั่นคือ เทคนิคการนำเครื่องปั้นดินเผามาเคลือบสี และขัดให้สากๆ ให้ดูคล้ายของเก่า
ผสมผสานกับการออกแบบในรูปทรง ที่ทันสมัย
เทคนิค ที่พิศใช้นั้น เข้าได้กับสิ่งที่นักตกแต่งบัานต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสอดรับกับกระแสนิยมตลาดต่างประเทศ
ทั้งยังสามารถนำไปตกแต่งให้เข้ากับเครื่องหวายได้อย่างลงตัวสวยงาม
การตัดสินใจของพิศครั้งนี้เป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนเป็นที่ต้องการของตลาดอีกครั้ง
และได้รับความนิยมเป็นที่รู้จักยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้