"อังเดรส์ หวาง หลิน" พายเรือเลาะชายป่าโกงกาง "เอกวาดอเรียน"
ที่หนาทึบอย่างเงียบเชียบโดยมีปืนพกเป็นอาวุธ และแสงสว่างจากไฟฉายส่องไปรอบๆ
สรรพเสียงยามค่ำหนาหูทั้งนกและสัตว์เลื้อยคลาน แต่หูของหวางหลินสามารถจำแนกเสียงๆ
หนึ่งออกจากเสียงเซ็งแซ่ทั้งหมดได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือเสียงฮึ่มๆ ของเครื่องยนต์เรือของพวกหัวขโมยที่ลักลอบเข้ามา
ถึงแม้ว่าชนชาติแถบเทือกเขาแอนดิสจะขึ้นชื่อในฐานะเป็นแหล่งโลหะมีค่าที่หายากอย่างทองหรือเงินในยุคอินคา
ก่อนที่ลัทธิอาณานิคมจะแผ่เข้ามา แต่ทุกวันนี้สิ่งที่ล่อใจบรรดาโจรสลัดที่หากินอยู่ตามชายฝั่งแปซิฟิคไม่ใช่ทองคำหรือแท่งเงินแต่เป็น
"กุ้ง" ในฟาร์มของหลิน
หลินใช้เวลาหลายๆ คืนในแต่ละสัปดาห์ ออกลัดเลาะไปตามหนองบึงเพื่อระแวดระวังฟาร์มกุ้งขนาด
120 เฮคตาร์ของตนไม่ให้ใครบุกรุกเข้ามาได้ แสงไฟสว่างไม่เพียงแต่ล่อกุ้งให้เข้าแหของเขาแต่ได้เตือนให้พวกลักขโมยรู้ว่าเรือของเขาอยู่แถวๆ
นั้นด้วย
"ผมไม่รู้เรื่องกุ้งเลยสักนิด ตอนที่มาเอกวาดอร์" เขาหัวเราะย้อนรำลึกความหลัง
ครอบครัวหวางหลินออกจาไต้หวันเมื่อปี 2519 มาอยู่สหรัฐอเมริกา "ด้วยเหตุผลทางการเมือง
เพราะเรากลัวคอมมิวนิสต์ยึดครองไต้หวัน" หลินกล่าว เป้าหมายของเขาในอเมริกาตอนนั้นคือ
แสวงหาโอกาสทองทางธุรกิจ
หวางหลินในวัย 34 เล่าว่า "ผมล้างจานอยู่ในลอสแองเจลิส จากนั้นก็ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกในบราซิล
แล้วก็ไปเปรู ก่อนจากมาได้ยินว่าถ้าใครอยากรวยจริงๆ ก็ต้องไปเลี้ยงกุ้งที่เอกวาดอร์"
การเลี้ยงกุ้งก็ฟังดูน่าตื่นเต้นสำหรับเขาแต่ที่ดึงดูดเขามากกว่าคือ โอกาสของการทำกำไร
ที่นี่ไม่เหมือนไต้หวันซึ่งธุรกิจเลี้ยงกำลังย่ำแย่เพราะปัญหาน้ำเสีย พายุไต้ฝุ่นที่มาเป็นฤดู
ค่าเช่าที่ที่แพงลิบลิ่ว แต่เอกวาดอร์เปรียบดังสวรรค์ ผืนดินตลอดชายฝั่งราคาถูก
บ่อเลี้ยงกุ้งที่จัดการดีๆ จะได้ผลตอบแทนถึง 50% ค่าแรง ค่าน้ำมัน และค่าไฟ
ก็ยังถูกมาก ขณะเดียวกันท้องน้ำก็ยังมีสารอาหารสำหรับกุ้งอยู่เหลือเฟือ
"อนาคตการเลี้ยงกุ้งที่ไต้หวันไม่มีเลย ที่นั่นประชากรมากเกินไป และน้ำก็เสีย"
หลินกล่าว
เมื่อปี 2525 หวางหลิน ได้เปลี่ยนเงิน 4 หมื่นดอลลาร์สหรัฐในบัญชีเงินฝากมาเป็น
ที่ 6 เฮคตาร์นอกเมืองมัคคาลาซึ่งอยุ่ห่างจากเมืองหลวงกิโตของเอกวาดอร์ไปทางใต้
350 กิโลเมตร แต่การเริ่มต้นนั้นไม่ง่ายเลย บทเรียนแรกคือ ต้องไม่ใช้อุปกรณ์ตีน้ำแบบไต้หวัน
"เพราะมันจะกวนตะกอนจากก้นบ่อขึ้นมา" หวางหลินได้หันไปใช้ปั๊มดีเซลเพื่อดูดน้ำใช้แล้วออก
50% เป็นการเพิ่มการไหลเวียนให้น้ำใหม่ๆ ได้เข้าไปเพิ่มพูนความสมบูรณ์ของบ่อ
บทเรียนที่สองคือการทำงานร่วมกับลูกน้อง แรกๆ คนงาน 40 คนของหวางหลินให้อาหารกุ้งโดยทิ้งไว้มุมบ่อ
ซึ่งมีแต่จะละลายไปโดยเปล่าประโยชน์ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวเขาสั่งให้คนงานให้อาหารกุ้งโดยใช้เรือเล็กโปรยอาหารในบ่อกุ้ง
ใครทำได้ดีจะให้ 100 ดอลลาร์สหรัฐเป็นรางวัล เขายังได้ติดตั้งระบบวิทยุติดต่อสองทางภายในฟาร์มกับคนงาน
"การดูแลคนงานในโรงงานขนาดใหญ่นั้นยาก แต่ในฟาร์มเลี้ยงกุ้งแบบเต็มรูปนี้ยิ่งยากใหญ่
คุณต้องอยู่กับเขาตลอดเวลา"
ความต้องการกุ้งเลี้ยงในเอกวาดอร์มีสูง อุตสาหกรรมนี้มีมูลค่า 451.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
65% ของกุ้งส่งไปยังสหรัฐอเมริกา 34% ส่งไปยุโรป หวางหลินเลี้ยงกุ้งได้ 136,000
กิโลกรัม/ปี โดยมีรายได้ปีละประมาณ 600,000-1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ปีไหนผลผลิตดีๆ
เขาบอกว่าจะได้กำไรถึง 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ
3 ปีก่อน หวางหลินได้เปิดสถานีเพาะเลี้ยงลูกกุ้ง อีกไม่นานเขาจะตัดคนกลางออกไปทั้งหมด
โดยจะจัดการเรื่องการจัดส่งสินค้าเองด้วย
"เทคนิคในการค้าคือ ต้องจับตาดูตลาดตลอดเวลาและปรับปรุงสินค้าให้สนองความต้องการของตลาดให้ได้
ถ้าราคากุ้งแต่ละขนาดและแต่ละประเภทเปลี่ยนแปลงแตกต่างกัน เราก็ต้องแก้ไขวงจรการเลี้ยงและวิธีให้อาหารกุ้งด้วย"
หวางหลินจะจับกุ้งขายเมื่อเลี้ยงไปได้ 16-20 สัปดาห์ ซึ่งจะได้กุ้งตัวใหญ่
มีความยาวถึง 15 เซนติเมตร
การอยู่ในชุมชนท้องถิ่นใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเสมอไป ในสภาพแวดล้อมที่ยากจน
คนต่างชาติอย่างหวางหลินกลายเป็นเป้าของความอิจฉาริษยาและการลักขโมย เจ้าของฟาร์มบางแห่งต้องเสียกุ้งไปถึง
20% ให้กับพวกขโมย เมื่อหลายปีก่อนสถาการณ์ได้เลวร้ายลงเมื่อเจ้าของฟาร์มชาวไต้หวันยิงผู้บุกรุกชาวเอกวาดอร์
"ตั้งแต่นั้นมาก เราต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนให้กลับมาดีขึ้น"
หวางหลินเล่าถึงสิ่งที่ตามมา
คลินิกที่ให้บริการฝังเข็มฟรี และการจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำผู้นำชุมชนประจำเดือนที่มีปอเปี๊ยะไส้ซีฟู้ดกับไก่ชานตุงเป็นเมนูประจำ
คืองานชุมชนสัมพันธ์ที่บรรดาครอบครัวชาวไต้หวัน 25 ครอบครัวสร้างขึ้นมาเพื่อผูกมิตรกับคนท้องถิ่น
การที่หวางหลินพูดภาษาสเปนได้ทำให้เขาเป็นนักธุรกิจที่ได้รับความเชื่อถือ
ภรรยาชาวเอกวาดอร์และลูกอีก 2 คนก็เป็นสะพานเชื่อมช่องว่างระหว่างวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี
และแม้แต่ตามกฎหมายชาวต่างชาติจะไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินในช่วง 80 กิโลเมตรจากชายฝั่ง
แต่หวางหลินได้กลายเป็นประชากรเอกวาดอร์แล้ว ต้องถือว่าเขาเป็นคนไต้หวันที่เป็นเจ้าที่ดินหลายสิบเฮคตาร์
หวางหลินกล่าวว่า "ธุรกิจนี้อาจจะแพง ใช้เวลาและทุ่มเทพลังงานไม่น้อย
แต่ตราบใดที่คุณเต็มใจจะให้เวลากับมัน การเลี้ยงกุ้งก็นับว่าให้ผลดีทีเดียว"