อุตสาหกรรมการ์ตูนญี่ปุ่นไม่ใช่ใหญ่เฉพาะในบ้าน ด้วยยอดขาย 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
แต่ยังครองตลาดทั่วเอเชียด้วย
เมื่อ "คัลเจอร์คอม" ซึ่งบริษัทผู้ผลิตหนังสือการ์ตูนในฮ่องกงมีความต้องการการ์ตูนเรื่องใหม่ๆ
มาป้อนตลาด เพื่อรักษาส่วนแบ่งของตนในธุรกิจนี้ คัลเจอร์คอมตัดสินใจเลือก
"มังกะ" (MANGA) หรือการ์ตูนญี่ปุ่น มาเสนอต่อผู้อ่าน เริ่มด้วยการพิมพ์การ์ตูนชื่อดังเรื่อง
"ดรากอนบอลล์" จำนวน 10,000 เล่มเมื่อเดือนมิถุนายน 1992 ดรากอนบอลล์เป็นเรื่องของเด็กที่มีหางลิงซึ่งแสวงหาลูกแก้ววิเศษเพื่อขอพร
วันแรกที่ "ฟีลิกซ์ โตะ" ผู้จัดการสำนักพิมพ์ของคัลเจอร์คอมนำหนังสือออกไปวางตามแผง
เขาภาวนาขอให้ตัวเองโชคดีแต่โตะไม่จำเป็นต้องอาศัยโชคเข้ามาช่วยเพราะยังไม่ทันจะหมดวัน
บรรดาเจ้าของร้านและแผงขายหนังสือก็แห่กันมาที่บริษัทของเขาซึ่งตั้งอยู่บนถนนคิงส์โรด
เพื่อขอเพิ่มยอดจนต้องสั่งพิมพ์ใหม่ ซึ่งหนังสือการ์ตูนปึกใหญ่ที่ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำก็หมดเกลี้ยงภายในพริบตา
"เราคิดว่า การ์ตูนญี่ปุ่นจะไม่ได้รับการต้อนรับในตลาดฮ่องกง แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงว่าเราคิดผิด"
โตะกล่าว
ฮ่องกง ไม่ใช่ที่เดียวในเอเชียที่นักอ่านให้การต้อนรับ "มังกะ"
อย่างดีเยี่ยม ที่ไต้หวัน ไทย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และเวียดนาม
สำนักพิมพ์หลายต่อหลายแห่งต่างแปลการ์ตูนของญี่ปุ่นออกมาเป็นภาษาท้องถิ่น
และไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนแนวผจญภัย เรื่องโรมานซ์ หรือนิยายอภินิหารต่างก็ขายดิบขายดีในทุกๆ
ที่
ภาพยนต์การ์ตูน วิดีโอ และรายการโชว์ทางทีวี เป็นสื่อที่สร้างความนิยมในตัวการ์ตูนญี่ปุ่นให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในประเทศเหล่านี้
เมื่อถ่ายทอดลงมาในหน้ากระดาษ และได้รับการแปลออกมาเป็นภาษาของแต่ละประเทศ
ทั้งที่ได้รับลิขสิทธิ์โดยถูกต้องและที่ขโมยแปลกันแล้ว อิทธิพลจากสื่อวิดีโอหรือทีวีพลอยทำให้ตลาดหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่แม้จะยังคงมีขนาดเล็กอยู่
แต่ก็เป็นตลาดที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ในภูมิภาคนี้
ตัวอย่างเช่น "โชเนน แมกกาซีน" ซึ่งเป็นนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ของบริษัทโคดันชา
มียอดพิมพ์ 3.7 ล้านฉบับในญี่ปุ่น แต่ในไต้หวันพิมพ์เพียง 70,000 ฉบับเท่านั้น
กระนั้นก็ตาม สำนักพมิพ์ญี่ปุ่นก็ยังเห็นว่าเอเชียเป็นตลาดที่ยังโกยกำไรได้อีกในช่วง
5-10 ปีข้างหน้า
ตลาดการ์ตูนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียนอกจากญี่ปุ่นก็คือฮ่องกง โตะ แห่งคัลเจอร์คอมกล่าวว่า
อุตสาหกรรมการ์ตูนในประเทศนี้มียอดจำหน่ายที่เป็นตัวเลขทางการ 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนตลาดไทยนั้น วิทิต อุตสาหจิต กรรมการผู้จัดการบริษัทศรีสยามพรินท์แอนด์แพค
ซึ่งเป็นผู้ผลิตการ์ตูนรายใหญ่ในไทยประเมินว่า มีมูลค่าตลาด 11-15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยเป็นยอดขายของสำนักพิมพ์ไทยและญี่ปุ่นรวมกัน
อย่างไรก็ตามยอดขายของการ์ตูนในเอเชียทั้งหมดเมื่อเทียบกับญี่ปุ่นแล้วยังน้อยนิด
รายงานของสถาบันวิจัยสิ่งตีพิมพ์ (RESEARCH INSTITUTE FOR PUBLICATION -RIP)
ซึ่งมีสำนักงานในโตเกียวระบุว่า ในปี 1992 ตลาดหนังสือการ์ตูนมังกะของญี่ปุ่นมีมูลค่าเกือบ
5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากตัวการ์ตูนยอดฮิต "โดเรมอน" แมวมหัศจรรย์ที่สามารถดึงเครื่องมือแปลกๆ
สารพัดชนิดออกมาจากกระเป๋าหน้าท้อง บริษัทการ์ตูนญี่ปุ่นยังพากันผลิตการ์ตูนเรื่องใหม่ๆ
ออกมา เฉพาะในปี 1992 ปีเดียวมีถึง 4,653 เรื่อง อันประกอบไปด้วยตัวละครสารพัดชนิด
เช่นเด็กหญิงตาโต หุ่นยนต์ต่อสู้ ตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์ที่ชาญฉลาด
เป็นต้น นิตยสารแต่ละเล่มจะมีการ์ตูนหลายๆ เรื่องโดยนักวาดต่างๆ กันเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคนทั้งหญิงและชาย
การ์ตูนที่ตีพิมพ์นอกประเทศญี่ปุ่นนั้นโดยทั่วๆ ไปไม่ได้มีเรื่องความรุนแรงหรือเรื่องเพศมากเหมือนกับที่ถูกวิจารณ์กันอยู่ในญี่ปุ่น
"เราพยายามรอบคอบอย่างที่สุดเพื่อที่จะไม่ให้เรื่องเกี่ยวกับเซ็กส์
และความรุนแรงบ่อนทำลายคุณค่าทางสังคมและการเมืองในประเทศเอเชีย" คาซาฮารา
ทากาชิ กรรมการบริหารฝ่ายต่างประเทศของโคดันชากล่าว
ในปัจจุบันตลาดการ์ตูนมังกะของญี่ปุ่นมี 3 บริษัทใหญ่ๆ ที่กุมธุรกิจอยู่
บริษัทแรกคือ "ซูเอชา" (SHUEISHA INC.) ซึ่งผลิตหนังสือการ์ตูนที่ขายดีที่สุดชื่อ
"โชเนนจัมพ์" (SHONEN JUMP) แต่ละสัปดาห์ชาวญี่ปุ่นจะพากันรุมอ่านมังกะเล่มนี้ที่ตีพิมพ์ถึง
6.4 ล้านฉบับ อย่างไรก็ตามชูเอชาไม่ได้เปิดเผยยอดจำหน่ายของตน
บริษัทที่สอง คือ "โกดันชา" (KODANSHA) ซึ่งมีรายได้ 1.84 พันล้านดอลลาร์
เป็นเจ้าของโชเนนแมกกาซีน
บริษัทที่สาม ได้แก่ โชกะคุกัน (SHOGAKUKAN INC.) ซึ่งก็จำหน่าย "ยังซันเดย์"
1.2 ล้านฉบับต่อสัปดาห์ จนทำให้ยอดขายของบริษัทสูงถึง 1.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สามบริษัทนี้รวมกันก็ขายการ์ตูนได้มากกว่า 11 ล้านเล่มต่อสัปดาห์แล้ว แต่แม้จะมียอดจำหน่ายมหาศาลขนาดนั้น
สำนักพิมพ์ญี่ปุ่นก็ไม่ได้ทำเงินจากหนังสือการ์ตูนเหล่านี้เท่าไรนัก รายได้ของบริษัทนั้นมาจากการขายโฆษณาซึ่งสูงตกหน้าละ
30ล000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่กระนั้นก็ยังไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิตและการพิมพ์แม้ต่ชูเอชาซึ่งขายโชเนนจัมพ์อาทิตย์ละ
6 ล้านเล่ม
ซาซากิ โทชิฮารุ นักวิเคราะห์อาวุโสของ RIP กล่าวว่าเผลอๆ จะขาดทุนจากนิตยสารที่หนา
400 หน้าเล่มนี้ด้วยซ้ำ
นักวิเคราะห์และเจ้าหน้าที่ในบริษัทการ์ตูนเหล่านี้ กล่าวว่าผลตอบแทนอย่างงามนั้นมาจากการพิมพ์เรื่องยอดนิยมในนิตยสารออกมาเป็นอัลบั้มพ็อคเก็ตบุค
ซึ่งใช้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้น หนังสือปกแข็งขนาดเหมาะมือเหล่านี้เติบโตเป็น
3 เท่าจาก 10 ปีก่อน จนถึงปี 1992 มีมูลค่าถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดนอกประเทศญี่ปุ่นที่นิยมมังกะมากที่สุดได้แก่ ไต้หวันและไทย ซึ่งกลับเป็นสำนักพิมพ์เถื่อนในประเทศทั้งสองที่กุมตลาดอยู่จนถึงทุกวันนี้
แต่ในทางกลับกัน ก็ได้สร้างความต้องการสินค้าดังกล่าวนี้ให้กับบริษัทญี่ปุ่นในระยะยาวต่อไปด้วย
ที่ไต้หวันเครือข่ายของพวกสำนักพิมพี่ละเมิดลิขสิทธิ์การ์ตูนญี่ปุ่นนั้นกว้างขวางมาก
ถึงขนาดเมื่อตอนปลายทศวรรษ 1980 โชเนนจัมพ์ของชูเอชาซึ่งมีเรื่องราวผจญภัยและนิยายวิทยาศาสตร์ที่เด็กหนุ่มๆ
ชอบ จะตีพิมพ์ก่อนฉบับจริงในญี่ปุ่น 1 หรือ 2 วันด้วยซ้ำ พวกลักลอบเหล่านี้มีสายทั้งในโรงพิมพ์
และที่แผนกเข้าเล่มที่จะแฟกซ์ต้นฉบับที่ผ่านการพิสูจน์อักษรเรียบร้อยแล้วมาที่ไต้หวัน
แหล่งข่าวในวงการการ์ตูนญี่ปุ่นระบุว่า บรรดาสำนักพมิพ์เหล่านี้ใช้วิธีจับฉลากเพื่อจัดสรรว่า
ในแต่ละสัปดาห์สำนักพิมพ์ใดจะได้ต้นฉบับการ์ตูนญี่ปุ่นที่ขโมยมาไปพิมพ์ขาย
ซึ่งระบบการจัดสรรต้นฉบับแบบนี้ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสำนักพิมพ์บางแห่งที่อาจได้ต้นฉบับที่ไม่ได้รับความนิยมไปพิมพ์
ดังนั้นในท้ายที่สุดแล้วระบบนี้ทำให้สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ตัดสินใจขอลิขสิทธิ์จากโชเนน
แมกกาซีนไปพิมพ์อย่างถูกกฎหมายเมื่อปี 1992 เพราะถึงแม้จะต้องเสียค่าลิขสิทธิ์
แต่ก็มีโอกาสที่จะเลือกเรื่องที่ขายได้อย่างแน่นอน
"ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่า สำนักพิมพ์รายใหญ่ที่สุดที่ลักลอบพิมพ์การ์ตูนญี่ปุ่นอย่างสำนักพิมพ์ตงลี่จะได้เรื่องที่ขายดีที่สุดไปพิมพ์
เพราะไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนในการขโมยต้นฉบับ แต่ถ้าจับฉลากเอาเรื่องที่ดีๆ มาไม่ได้
ก็เป็นการลงแรงที่เปล่าประโยชน์" คาซาฮาราแห่งสำนักพิมพ์โคดันชากล่าว
ทุกวันนี้ตงลี่เป็นผู้พิมพ์ โชเนนจัมพ์ (ในชื่อใหม่ว่า ฟอร์โมซายูธ) และโชเนนแมกกาซีนที่ถูกกฎหมายในไต้หวัน
การที่ทางการไต้หวันให้การรับรองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาตามาตรฐานสากลเมื่อปี
1993 ทำให้ยักษ์ใหญ่หนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นมั่นใจในการยื่นมือเข้าทำธุรกิจที่นี่มากขึ้น
ปัจจุบันโคดันชาได้ร่วมมือกับสำนักพิมพ์ไต้หวัน 6 แห่งที่จะพิมพ์หนังสือการ์ตูนหลายเล่ม
รองรับคอการ์ตูนไต้หวันประมาณ 5 แสนคน ส่วนโชกะ คุกันก็ขายสิทธิ์ให้สำนักพิมพ์ไต้หวันหลายรายตีพิมพ์พ็อคเก็ตบุ๊ค
400 เรื่องของตน
ในประเทศไทย หนังสือการ์ตูนเรื่องโดเรมอนได้กระโดดจากจอทีวีเข้าไปสร้างความฮือฮาบนหน้าหนังสือ
การ์ตูนแมวยอดนิยมตัวนี้ ส่งผลให้เกิดการนำการ์ตูนญี่ปุ่นอีกหลายๆ เรื่องมาตีพิมพ์เป็นฉบับภาษาไทย
และเกือบทั้งหมดเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งเพิ่งจะมาชะลอตัวลงเมื่อสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งมองเห็นศักยภาพของตลาดการ์ตูนญี่ปุ่นจึงดำเนินการของลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง
ปลายปี 1992 ชัยอารี สันติพงศ์ไชย ประธานบริษัท "แอดวานซ์ คอมมิวนิเคชั่นส์"
ประกาศว่า บริษัทของเขาได้รับสิทธิการพิมพ์การ์ตูนจากบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งและเขาจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ละเมิด
สำนักพิมพ์รายอื่นจึงได้หันไปตกลงกับบริษัทการ์ตูนญี่ปุ่นรายอื่นๆ และได้รับอนุญาตพิมพ์
ดรากอนบอล และการ์ตูนยอดฮิตเล่มอื่นๆ
แต่จริงๆ แล้ว ชัยอารีแค่กล่าวอ้างตีกันเท่านั้น ลิขสิทธิ์ที่เขาได้คือ
"สไปเดอร์แมน" จากสหรัฐ หาใช่การ์ตูนมังกะไม่ เขาหวังว่าการบลั้ฟกันแบบนี้
จะทำให้วงการไม่มายุ่งกับการ์ตูนเรื่องใหม่ของเขา แต่แผนการของเขาอาจจะถูกตลบหลังได้
เพราะตอนนี้โคดันชาได้ทำสัญญากับ 2 สำนักพิมพ์ซึ่งเป็นผู้ละเมิดรายใหญ่ที่สุดในไทยให้พิมพ์การ์ตูนค่ายของตนแล้ว
เท่ากับ่ว่าสไปเดอร์แมนจะต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่ถูกกฎหมายและแข่งขันด้วยการ์ตูนมังกะจากญี่ปุ่น
แต่ในขณะเดียวกัน แซม โยชิบะ ผู้จัดการโคดันชาซึ่งดูแลกิจการในไทย อินโดนีเซีย
และสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า จำนวนเรื่องที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ตีพิมพ์นั้นเพิ่มจาก
80 เรื่องในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว มาเป็น 120 เรื่องในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน
ตลาดการ์ตูนญี่ปุ่นยึดครองได้มากที่สุดน่าจะเป็น ฮ่องกง แต่ตอนนี้ก็กำลังลำบากที่จะรักษาสถานะไว้ได้
วงการการ์ตูนฮ่องกงต้องเสียโทนี่ หว่อง อดีตประธานบริษัท "เจดแมน โฮลดิ้งส์"
ไปเมื่อเขาถูกจำคุกในข้อหามีส่วนฉ้อโกงบริษัทเมื่อปี 1991
เมื่อถูกปล่อยตัวออกมาในเดือนเมษายน 1993 หว่องก็กระโจนลงมาแย่งยึดตลาดการ์ตูนไปครอง
และบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่ชื่อ "เจดไนาสตี้ พับบลิเคชั่นส์" ของหว่องกำลังวางแผนตั้งสำนักพิมพ์
เพื่อนำการ์ตูนเรื่องเก่าๆ ที่เคยสร้างชื่อไว้ในสมัยที่เขายังเป็นประธานบริษัทเจดแมน
โฮลดิ้งส์ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นคัลเจอร์คอม) มาสร้างเป็นตอนใหม่ๆ เพื่อพิมพ์ขาย
แต่การกลับมาของหว่องก็ไม่ได้ช่วยให้อุตสาหกรรมการ์ตูนดีขึ้นมาก ผู้ผลิตในฮ่องกงกำลังเผชิญกับการท้าทายใหม่ๆ
จากนักอ่านในประเทศท่ามกลางความนิยมการ์ตูนญี่ปุ่นที่กำลังเพิ่มขึ้น "ที่ฮ่องกง
เรามีวัฒนธรรมของการ์ตูนของเราเอง และเราก็พยายามจะผลิตสิ่งใหม่ๆ ออกมาบนพื้นฐานของวัมนธรรมอันนั้น"
โตะกล่าว "เป็นภารกิจที่หนักหนาทีเดียว แต่เราคิดว่าฮ่องกงอยู่ในสถานะที่ดีกว่าไต้หวันในการประจันหน้ากับการ์ตูนญี่ปุ่น"
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะการ์ตูนในประเทศบนพื้นฐานวัมนธรรมเดิมก็ยังขายดี
อย่างเรื่องที่ขายดีมาตลอดคือ "ดรากอนไทเกอร์ ฮีโร่" ซึ่งเป็นเรื่องของกลุ่มวัยรุ่นที่ต่อกรกับแก๊งผู้ร้ายด้วยกังฟู
ขายไป 80 ล้านเล่มแล้วตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกโดยเจดแมนโฮลดิ้งส์
แต่ความปรารถนาที่จะคงเอกลักษณ์เดิมๆ ไว้เริ่มจะลดน้อยลงด้วยผลกำไรที่เย้ายวนของการ์ตูนต่างชาติ
สำนักพิมพ์ฮ่องกงต่างพากันป้อนตลาดด้วยมังกะจากญี่ปุ่น โตะจึงต้องผิดหวัง
บริษัทของเขาเป็นใหญ่อยู่ในวงการการ์ตูนบนดินแดนอาณานิคมแห่งนี้มาตลอด 2
ทศวรรษที่ผ่านมา โตะบอกว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้วยังมีแต่หนังสือการ์ตูนของฮ่องกงเองอยู่เลย
แต่ตอนนี้นิตยสารการ์ตูนมังกะกว่า 70 ฉบับวางขายอยู่ในฮ่องกง เฉพาะคัลเจอร์คอมเองก็มีคาร์ตูนญี่ปุ่นอยู่
8 เรื่อง โดยมียอดพิมพ์รวมกัน 255,000 เล่ม นอกเหนือไปจากการพิมพ์การ์ตูนแบบเดิมๆ
ที่มีอยู่ 12 เรื่อง
การ์ตูนญี่ปุ่นอาจจะขายดีในหลายประเทศในเอเชีย แต่ในสิงคโปร์กลับไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
การ์ตูนที่ลักลอบพิมพ์ถูกแปลเป็นภาษาจีนมากกว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาในชีวิตประจำวันของเด็กสิงคโปร์
การพิมพ์ภาษาจีนจึงลดทอนความในใจต่อการ์ตูนไป "ทั้งที่ดรากอนบอลล์เป็นที่นิยมในสิงคโปร์
แต่กลับขายได้ไม่กี่พันเล่ม เพราะว่าพิมพ์เป็นภาษาจีน" จอห์นนี่ เลา
หนึ่งในศิลปินผู้สร้างสรรค์ตัวการ์ตูนชื่อ "มิสเตอร์เคียสุ" ที่ดังที่สุดในสิงคโปร์กล่าว
เลากับเพื่อนร่วมงานอีก 2 คน คือ เจมส์ ซุเรซ และลิมยูเช็ง เก็งตลาดสิงคโปร์ออก
เมื่อปี 1990 ในเดือนกันยายนเขาพิมพ์การ์ตูนเล่มแรกเกี่ยวกับ "เคียสุ"
ซึ่งมีบุคลิกเงอะงะและพูดภาษาสิงคโปร์ปนอังกฤษที่เรียกว่า 'ซิงกลิช' และมักจะต้องการได้แต่ของดีๆ
จากการ์ตูนเคียสุที่พิมพเป็นปี ก็ตามมาด้วยนิตยสารรายไตรมาสที่พิมพ์ครั้งแรกเมื่อมกราคม
1993 เลากล่าวว่าการ์ตูนญี่ปุ่นนั้นเข้ากันได้กับเคียสุ "ถ้าเกิดดรากอนบอลล์ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษอาจจะขายได้ดีกว่าเคียสุก็เป็นได้"
สำหรับเกาหลีใต้และจีนนั้น ทางการยังปิดสำหรับการ์ตูนมังกะจากญี่ปุ่น ทั้งนี้เพื่อต้องการลดทอนอิทธิพลทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น
รัฐบาลเกาหลีจึงได้ห้ามฉายภาพยนตร์ญี่ปุ่น เพลงญี่ปุ่น รวมทั้งวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ออกมาในรูปอื่นๆ
จะมีอนุญาตให้นำเข้าบ้างก็คือมังกะไม่กี่เรื่อง "ในอดีตที่ญี่ปุ่นรุกรานเกาหลี
เขาก็เลยปิดกั้นไม่ให้มังกะเราเข้าไป แต่กระนั้นการ์ตูนญี่ปุ่นก็ถูกขโมยตีพิมพ์ในชื่อศิลปินเกาหลี"
คาซาฮารากล่าว
ที่จีนนั้น ซูซุกิ จากโชกาคุกันกล่าวว่า "เราไม่ค่อยแน่ใจว่าตลาดมังกะที่นั่นจะโตขึ้นมาได้"
ไม่ใช่เพียงเพราะข้อจำกัดในการพิมพ์ที่เป็นอุปสรรคสำคัญ แต่เป็นเพราะปักกิ่งยังเจ็บปวดกับบาดแผลครั้งเก่าสมัยญี่ปุ่นเป็นจักรวรรดินิยม
แม้กระนั้นผู้ผลิตของจีนก็ติดต่อสำนักพิมพ์มังกะเพื่อขอตีพิมพ์การ์ตูนเพื่อการศึกษาสำหรับเด็กก่อน
คาซาฮารากล่าว การ์ตูนอื่นๆ ที่ยกเว้นเข้าไปจีนได้ก็คือ การ์ตูนชุดโดเรมอนที่โชกาคุกันอนุญาตให้สำนักพิมพ์ปักกิ่งแห่งหนึ่งได้ลิขสิทธิ์การพิมพ์ไปเมื่อกันยายน
1992
สำนักพิมพ์ญี่ปุ่นยอมรับว่า พวกตนไม่ได้เงินมากนักจากตลาดเอเชีย คาซาฮารากล่าวว่า
ค่ารอยัลตี้ของนิตยสารของโคนันชาที่ตีพิมพ์ในไต้หวันและฮ่องกง โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง
6-10% ของยอดขายแต่ละเล่ม ในไต้หวันก็ตกประมาณ 1,000 ดอลลาร์ต่อพ็อคเก็ตบุ๊ค
1 เล่ม หรือ 800 ดอลลาร์สหรัฐหลังหักภาษี ซึ่งโคดันชาก็จะแบ่งค่ารอยังตี้กับศิลปินที่วาดการ์ตูนด้วย
แต่เนื่องจากบริษัทญี่ปุ่นมักจะยอมรักบารขาดทุนหรือกำไรน้อยในระยะสั้น เพื่อที่จะได้ส่วนแบ่งตลาดในอุตสาหกรรมอื่นๆ
ผู้ผลิตมังกะก็เช่นกันที่เชื่อว่า การ์ตูนมังกะจะให้ผลตอบแทนคืนมาในระยะยาว