|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
PPM มั่นใจครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก และทั้งปีสูงกว่าปี 48 ทั้งรายได้และกำไร เนื่องจากมีกำไรจากการสต๊อกสินค้าและไม่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ไตรมาส 3 ผลงานออกมาดี เตรียมออกสินค้าตัวใหม่มาร์จิ้นสูง เพื่อดันรายได้ปีหน้าโตต่อเนื่อง ส่วนCOIL CENTER เบรกเหตุการเมืองคุ
นายชำนาญ พรพิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรพรหมเม็ททอล จำกัด (มหาชน) (PPM)เปิดเผยว่าผลงานปีนี้คงเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือไม่ต่ำกว่าปี 48 ที่บริษัททำรายได้ไว้ที่ 2,300 ล้านบาท พร้อมมั่นใจว่าตัวเลขกำไรก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่จะถึง 3 พันล้านบาทหรือไม่ตอบได้ยาก
“ เพราะต้องดูทิศทางของไตรมาสสุดท้ายด้วย และการที่เรามั่นใจกว่าช่วงครึ่งปีแรก เพราะเราจะได้กำไรจากส่วนต่างของสต๊อกสินค้าที่มีไว้เพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้า ถือว่าได้รับผลดีและปีนี้เราจะไม่มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนปีที่แล้ว ซึ่งเราเน้นปรับปรุงคุณภาพ การพัฒนาด้านบริการ และอื่น ๆ ด้านการบริหารสินค้าของเรา” นายชำนาญกล่าว
อย่างไรก็ตาม PPM ยอมรับว่าปริมาณของการขายจะต่ำกว่าปีก่อน แต่รายได้และกำไรสูงจะกว่า เพราะส่วนต่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งครึ่งแรกปีนี้ปริมาณขายลดลง แต่ตัวเลขยอดขายโตขึ้น บริษัทจึงมั่นใจว่าครึ่งปีหลังยอดขายของบริษัทก็จะเติบโตขึ้นตาม จึงเชื่อว่าเป้าหมายการเติบโตของบริษัทปีนี้ จะเป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับผลงานไตรมาส 3 ปีนี้น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นด้วย จากการจัดการพอร์ตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าลูกค้าของบริษัทที่อยู่ในธุรกิจวัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์จะซบเซาตามอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทบ้าง แต่ลูกค้าหลักอย่างผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็ยังมีการซื้อขายกันต่อเนื่อง แต่ยอมรับว่าลูกค้าบางรายขาดสภาพคล่อง ซึ่ง PPM ก็จะดูแลและช่วยกันแก้ไขตามความเหมะสม
นายชำนาญกล่าวว่าปีนี้ บริษัทต้องบริหารสินค้าคงคลัง พร้อมกับลดต้นทุนการดำเนินงาน โดยต้องลดปริมาณสินค้าคงคลังไม่ให้มากเกินไปในยามที่ต้นทุนการดำเนินงานสูง รวมทั้งปรับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E RATIO ให้อยู่ในระดับต่ำ
ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ในระหว่างการทดลองผลิตสินค้าตัวใหม่เพื่อออกสู่ตลาดในปี 50 ซึ่งสินค้านี้จะเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงและจะดันรายได้ของบริษัทให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทุกปี
“ ตัวเลขการเติบโตของเราจะเติบโตได้ 20-30% เหมือนในอดีต ดังนั้น เราจึงต้องพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ เพื่อสร้างรายได้ ให้เติบโตตามเป้าหมาย ซึ่งเราต้องพัฒนาให้ต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจอาจไม่ดี เพราะความชัดเจนยังไม่เกิดขึ้น ” นายชำนาญกล่าว
จากความไม่ชัดเจนของ ปัญหาทางการเมือง ทำให้ PPM ต้องชะลอโครงการสร้าง COIL CENTER ไว้ก่อนจากก่อนหน้าที่ตั้งใจว่าโครงการนี้จะก่อสร้างและเสร็จปลายปีนี้ ด้วยงบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท เนื่องจากโครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อต้องการรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีมากขึ้น แต่เมื่อพบว่าภาพรวมของเศรษฐกิจชะลอตัวและความไม่ชัดเจนทางการเมือง ขณะที่ต้นทุนต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทรอจังหวะที่เดินหน้าก่อสร้าง
“การขยายโครงการนี้เพราะเราต้องการขานรับกับการเติบโตของตลาด แต่เมื่อตลาดซบเราต้องเบรกไว้ก่อน รอจังหวะ ซึ่งหากพบว่าความต้องการมีสูงเกินกำลังการผลิต เราค่อยเดินหน้าสร้างโรงงานนี้ เราไม่เร่งตอนนี้ หากการเมืองชัดเจนขึ้น เศรษฐกิจดี ธุรกิจก็เดินหน้าได้ ” นายชำนาญกล่าว
โดยเป้าหมายหลักของการสร้าง COIL CENTER นั้น เพราะต้องการลดต้นทุนการผลิตในการดำเนินงาน ซึ่งหากโครงการนี้เสร็จ จะทำให้บริษัทช่วยลดต้นทุนและมีรายได้จากการรับจ้างตัดโลหะและเพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกิจรวมทั้งการตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยโครงการ COIL CENTER จะอยู่บริเวณแถวท่าเรือเพื่อประหยัดค่าขนส่งและอยู่ในเขต EXPORT PROFESSING ZONE (EPZ)โดยการส่งออก บริษัทฯไม่จำเป็นต้องเสียภาษี
นายชำนาญแย้มก่อนหน้านี้ว่า โครงการนี้ PPM อาจหาพันธมิตรที่จะมาร่วมทุนด้วยอยู่ในระหว่างการหาพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมลงทุนด้วย จึงเป็นการบอกได้ยากว่าจะออกมาในรูปแบบใด เพราะอาจเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรหรือ ซื้อโรงงานมาแล้วเดินเครื่องผลิตเลย บริษัทต้องศึกษากันให้ชัดเจนก่อนว่าจะเป็นรูปแบบไหน ซึ่งขณะนี้เจรจาอยู่หนึ่งราย
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปีนี้ สิ้นสุด 30 มิถุนายน 49 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 43.30 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 13.67 ล้านบาท ส่งผลให้จากเดิมที่มีผลขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 9 สตางค์เป็นมีกำไรต่อหุ้น 27
เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 739.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 617.82 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปี 48 เนื่องจากการราคาแร่มีการปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด จึงทำให้ราคาขายสินค้าทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอุตสาหกรรม และกลุ่มวัสดุก่อสร้างมีการปรับเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดีบริษัทฯ ยังคงมีการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งมีกำไรขั้นต้น 75.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 59.83 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปี 48 ซึ่งเป็นไปตามรายได้จากการ ขายที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับความสามารถในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหรลดลงจากการควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถรองรับกับยอดขายของบริษัทฯที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
|
|
|
|