Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน5 กันยายน 2549
หวั่นรัฐฯทุบแฟลตดินแดงเอื้อทุนทรท.เปิดช่องโยกคนเข้าบ้านเอื้อฯ-จับตาอิตัลไทยเข้าวิน             
 


   
search resources

Real Estate




แฟลตดินแดงโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ใจกลางเมือง บนเนื้อที่ 127 ไร่ กำลังถูกปัดฝุ่นในการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง และกลายเป็นประเด็นที่กำลังถูกจับตามองถึงความเหมาะสมของการผลักดันโครงการ โดยเฉพาะการชงเรื่องแผนการแก้ไขแฟลตดินแดง จากนายวัฒนา เมืองสุข รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในวันที่ 5 ก.ย.นี้ หลังจากมติคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ (กปอ.) ให้มีการรื้อย้ายผู้อยู่อาศัยในอาคารกลุ่มเสี่ยงออกจากพื้นที่ เพื่อทำการทุบรื้ออาคารและก่อสร้างใหม่ โดยขีดเส้นภายใน 7 วัน ให้กคช.หามาตรการในการแก้ไขปัญหาผู้อยู่อาศัยในโซนอันตราย

แต่จะว่าไปแล้ว ที่ดินแปลงดังกล่าวถือว่ามีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจอีกทำเลหนึ่ง เนื่องจากอยู่ใจกลางเมือง และสามารถรองรับการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ได้ ดังนั้น ไม่ว่ารัฐบาลชุดใดที่เข้ามาบริหารประเทศ พยายามจะเข้ามาพัฒนาโครงการดังกล่าว โดยเฉพาะรัฐบาลในชุดปัจจุบัน มีแผนที่จะพัฒนาและฟื้นฟูโครงการที่อยู่อาศัยแฟลตดินแดงตามนโยบายการพัฒนาเมือง โดยมีการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เป็นหน่วยงานหลักในการ ศึกษา เสนอแนวทางการพัฒนา และรูปแบบการลงทุนทั้งหมด

แต่บังเอิญด้วยความหนาแน่นของประชากรที่อาศัยอยู่ในแฟลตดินแดงถึง 40,000 ราย จากจำนวนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ทั้งหมด 6,000 หน่วย นั่นหมายความว่า ย่อมอาจมีผลต่อฐานเสียงในการเลือกตั้งไม่มากก็น้อย เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ต้องการอยู่ใกล้ที่ทำงาน และไม่ต้องการกระจายไปอยู่นอกเมืองซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป และประเด็นสำคัญคือความกังวลไม่สามารถกลับเข้ามาอยู่อาศัยในที่เดิมได้ แม้ว่ารัฐบาลจะรับปากว่าจะหาจุดที่อยู่อาศัยใหม่ให้ก็ตาม

" ข้อเสียก็คือ ในการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งแต่ละครั้ง จะมีการหยิบยกข้อต่อรองกับชาวชุมชนที่อยู่อาศัยในแฟลตดินแดงจะไม่มีการทุบและสร้างโครงการใหม่ หากได้รับเลือกตั้งให้เข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ซึ่งก็ได้ผลแทบทุกครั้ง เพราะประชาชนไม่ต้องการย้ายออกจากที่อยู่อาศัยเดิม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ควรจะเสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก" แหล่งข่าวในวงการอสังหาฯตั้งข้อสังเกต

ถึงกระนั้น การจัดเตรียมแผนก็เป็นเรื่องที่ต้องวางแนวทางไว้ก่อน หากทุกอย่าง"สุขงอม" ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วง2547 กคช.ได้ว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)ให้เข้ามาดำเนินการศึกษา ตรวจสภาพแฟลตดินแดง และนำผลการศึกษาเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 มี.ค.47 โดยมีการสรุปผลการศึกษาออกมาว่า มีโซนอันตรายในการอยู่อาศัย 2 โซน คืออาคาร1-8 จำนวน 640 หน่วย และอาคาร21-32 จำนวน 670หน่วย

ทั้งนี้ AIT แบ่งอาคารที่เป็นพื้นที่อันตรายในการอยู่อาศัยออกเป็น 4 โซน ประกอบด้วย 1.โซนพื้นที่สีแดง เป็นอาคารเสียหายมาก 2.อาคารพื้นที่สีส้มเป็นอาคารที่มีความเสียหาย 3.อาคารพื้นที่สีเหลืองมีความเสียหายปานกลาง และ4.อาคารพื้นที่สีเขียวเป็นพื้นที่ที่ไม่มีความเสียหาย (พิจารณาภาพประกอบ)

เปิดช่องเพิ่มตัวเลขคนซื้อบ้านเอื้อฯ

ขณะที่ นายสุรพล จันทร์น้อย รองผู้ว่าการ กคช. ชี้แจงว่า ได้กำหนด มาตรการแก้ไขปัญหา การรื้อย้ายผู้อยู่อาศัยแฟลตดินแดงในโซนอันตรายประกอบด้วย 3 ส่วนคือ 1.กลุ่มผู้ย้ายออกไปอย่างถาวร จะได้เงินค่าชดเชยหน่วยละ 250,000 บาทและค่าขนย้าย 5,000-10,000 บาท 2. กลุ่มผู้อยู่อาศัยต้องการจะย้ายออกไปแล้วกลับเข้ามาอยู่ใหม่หลังจากก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยใหม่เสร็จ ซึ่งจะได้ค่าขนย้าย 5,000-10,000 บาทต่อหน่วย และ 3.กลุ่มที่ต้องการย้ายออกไปอยู่อาศัยในบ้านเอื้ออาทรที่เตรียมไว้ โดยต้องการซื้อบ้านเอื้ออาทรในการอยู่อาศัยแทนการย้ายกลับเข้ามา ซึ่งในกลุ่มนี้จะได้รับเงินค่าชดเชยซึ่งสามารถนำไปซื้อบ้านเอื้ออาทรที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว และสามารถผ่อนต่อกับธนาคารในส่วนที่เหลือ จำนวน 6 โครงการ รวม 1,700 หน่วย เช่น โครงการรังสิต คลอง1 และโครงการเพชรเกษม81 เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน นายวัฒนา เมืองสุข รักษาการกระทรวงฯ เสนอให้มีการย้ายผู้อยู่อาศัยทั้งหมดออกจากพื้นที่ โดยอ้างว่าอาจจะก่อให้เกิดอัตรายแก่ผู้อยู่อาศัยได้ ซึ่งส่วนทางกับมุมมองของนายฐิระวัตร กุลละวณิชย์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ที่ระบุว่า สภาพทั่วไปของอาคารเก่าชำรุดทรุดโทรมมาก ถึงเวลาต้องซ่อมแซม เพราะอาคารมีอายุ 30-40 ปี แต่ไม่ถึงกับเป็นอันตรายเสี่ยงว่าจะถล่ม ขอให้ผู้อยู่อาศัยสบายใจไม่ต้องวิตกนอนไม่ได้ เพราะดูแล้วฐานรากมั่นคง

จับตาเอื้อทุนการเมืองฮุบโครงการยักษ์

สำหรับรูปแบบของการพัฒนาโครงการใหม่นั้น นายวัฒนาระบุอย่างชัดเจน จะมีทั้งในส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัย และคอมเมอร์เชียล ศูนย์พาณิชย์กรรมต่างเพื่อเป็นการสร้างรายได้ไปด้วย โดยอาคารที่อยู่อาศัยจะมีขนาด50 ตารางเมตรขึ้นไป ราคาขายประมาณ 1 ล้านบาท ความสูง 20 ชั้นขึ้นไปในกรณีที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยมาก

ขณะที่ มีการประเมินว่าจะใช้งบในการก่อสร้างประมาณ 40,000 ล้านบาทจากเดิม 20,000-30,000 ล้านบาท โดยจะเปิดให้เอกชนรายใหญ่เข้ามาดำเนินการก่อสร้าง ( ปัจจุบันบริษัทอิตาเลี่ยนไทยฯ เป็นบริษัทรับเหมาขนาดใหญ่ของไทยที่มีศักยภาพ มีเงินทุน และบุคลากรที่พร้อม) และขายในรูปแบบเช่าซื้อระยะยาว 30 ปี และจะให้สิทธิ์ผู้อยู่อาศัยเดิมก่อนประชาชนทั่วไป โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยงบการลงทุนจากรัฐบาล

ก่อนหน้านี้ ตามแผนแม่บทบาทของการพัฒนาโครงการดังกล่าว ในแผนประเมินงบประมาณการลงทุนในโครงการ ประมาณ 20,000 ล้านบาท แหล่งเงินทุนมีสองส่วนคือ งบประมาณจัดสรรจากภาครัฐบาล และการลงทุนของเอกชน ซึ่งอาจจะเป็นนักลงทุนต่างชาติ หรือในประเทศก็ได้

ที่สำคัญตามแผนแม่บท ยังมีการเสนอยกพื้นที่ให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุน ทั้งในส่วนของที่อยู่อาศัยของผู้อยู่อาศัยเดิมและผู้อยู่อาศัยใหม่ รวมถึงพื้นที่พาณิชย์กรรม เพื่อเป็นการลดภาระการลงทุนของรัฐบาล เนื่องจากก่อนหน้านี้ ครม.ได้ให้งบประมาณส่วนแรก 800-900ล้านบาท ในการรื้อและสร้างอาคารทดแทนบริเวณประชาสงเคราะห์ เชื่อมต่อกับบึงมักกะสัน โดย กคช.ได้แบ่งเป็นงบค่าชดเชยกรณีที่ต้องย้ายที่อยู่ใหม่รายละ 2.5 แสนบาทและค่าขนย้ายอีก10,000 บาท ซึ่งมีผู้อยู่อาศัยแสดงความต้องการย้ายออกประมาณ 1,000 ครอบครัว จากทั้งหมด6,000 ครอบครัว อย่างไรก็ตาม กคช.วางแผนพัฒนาและฟื้นฟูไว้ 3ระยะโดยใช้เวลา 9 ปีในการดำเนินการ

อย่างไรก็ตามแม้ว่า กคช.จะมีการออกมาตรการมารองรับการแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้นแล้วก็ตาม แต่เรื่องดังกล่าวก็ยังต้องรอ มติครม.รักษาการว่า จะพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างไร เพราะในส่วนของ รมต. พม. เองก็ยังคงแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องนี้อยู่ โดยให้เหตุผลว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นไปได้หรือไม่นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของประชาชนผู้อยู่อาศัยในแฟลตดินแดง ซึ่งหากผู้อยู่อาศัยไม่ย้ายออกรัฐบาลก็ไม่สามารถดำเนินการใดๆได้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us