ก่อนที่ ฮิโรอะกิ โคโกะ จะออกจากบ้านเกิดที่หมู่บ้านชิโมโนเซกิ เมืองฮิโรชิมา
เขาบอกกับพ่อแม่ว่าจะไปแสวงโชคที่เมืองโบโกต้า ในอเมริกา แต่ไม่ยอมพูดชัด
ๆ ว่า โบโกตาเป็นเมืองหลวงของโคลัมเบีย เป็นเมืองที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล อยู่ที่ระดับเหนือน้ำทะเล
2,640 เมตร ทางฝั่งคอร์ดิเลราตะวันออกของเทือกเขาแอนเดส ในทวีปอเมริกาใต้ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา
ตามที่พ่อแม่เขาเข้าใจ
"ผมเพียงต้องการท่องเที่ยว และอยากผจญภัยเหมือนกับเด็กหนุ่มญี่ปุ่นทั่วไปที่รู้สึกว่า
ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับพวกเราได้เสมอ"
โคกะ เล่าความรู้สึกช่วงปี 1986
โคกะมาอยู่ที่โคลัมเบียเมื่ออายุ 21 ปี ในตอนนั้นเขามีสิ่งติดตัวอยู่สามอย่าง
คือเงิน 2,500 ดอลล่าร์ ฝีมือการทำ "SUSHI" และความรู้เกี่ยวกับประเทศที่เขามาอยู่ว่า
มีสินค้าส่งออกขึ้นชื่อสองชนิดได้แก่ ยาเสพติดและกาแฟรสดี
โคกะเริ่มทำงานด้วยการเป็นพ่อครัวให้กับร้านบะหมี่ญี่ปุ่นเล็ก ๆ มอซอแห่งหนึ่งเป็นเวลา
4 ปี หลังจากนั้นเขาชักชวนเพื่อนญี่ปุ่นคนหนึ่งมาร่วมลงทุนเปิดร้านอาหาร
"ซูชิ" ในเขต "โซนา โรซา" ซึ่งเป็นย่านการค้าของเมือง
ร้านอาหารแห่งนี้ซึ่งใช้ชื่อว่า "เวลคัม" ใช้เงินทุนครั้งแรก
10,000 ดอลล่าร์ มีรายการอาหารขึ้นชื่อของญี่ปุ่นคือ ข้าวปั้นหน้าปลาหมึกดิบ
ปลาซัลมอน และปลาทูน่าดิบ นอกจากนี้แล้วยังมี "ข้าวห่อสาหร่าย"
ที่ใส่เนื้อปู อาโวคาโด แตงกวา สอดรวมอยู่กับข้าวสุก ที่จะถูกนำมาห่อหุ้มด้วยสาหร่ายอีกชั้นหนึ่ง
โคกะต้องประสบกับปัญหาของการทำอาหารญี่ปุ่นที่ได้รสอาหารญี่ปุ่นแท้ ๆ ในประเทศที่มีพืชผลจำพวกมันฝรั่ง
ถั่ว กล้วย มันสำปะหลังและอาหารพื้นเมือง "AJIACO" เป็นซุปที่ทำด้วยหัวใจไก่และผัก
นอกจากนี้แล้วข้าวที่ปลูกที่นี่ขาดคุณสมบัติในด้านความเหนียว ต่างกับพันธุ์ที่ปลูกในญี่ปุ่น
ซึ่งจะเหมาะในการทำข้าวห่อสาหร่าย
การหาซื้ออาหารทะเลสดก็เป็นเรื่องยุ่งยากมาก ท่าเรือที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ
BUENAVENTURA ซึ่งตรงข้ามภูเขาไปอีกสองลูก ใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง หรือคิดเป็นระยะทาง
540 กิโลเมตรจากเมืองโบโกต้า
โคกะแก้ปัญหาด้วยการซื้ออาหารทะเลที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสินค้าเข้าที่แพงลิบลิ่ว
เขาจึงหันไปซื้อกับตลาดมืด ผู้ค้าของหนีภาษีเหล่านี้ทำงานที่สายการบินประจำชาติ
AVIANCA พวกเขามีแหล่งติดต่อซื้อและลอบนำเข้าสาหร่ายทะเลและวาซาบิ (ผงปรุงรสสำหรับซูชิ)
ส่วนสินค้าอื่น ๆ หาซื้อได้จากอดีตเจ้าพนักงานศุลกากรในโคลัมเบีย
"วิธีการดีที่สุดที่จะได้ของมาคือการซื้อผ่านคู่ค้าของหนีภาษี พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีของผม
ที่นำอาหารเหล่านี้มาจากแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ค" โคกะเล่าสภาพตอนเริ่มต้นทำร้านอาหาร
สิ่งที่ท้ายทายโคกะมากที่สุดในตอนนั้น คือทำอย่างไรให้ร้านอาหารอยู่รอดได้ในสภาวการณ์ของบ้านเมืองที่
"ความปลอดภัยมั่นคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด" ในขณะนั้นรัฐบาลโคลัมเบียประกาศสงครามกับผู้ค้ายาเสพติดโคเคนระดับโลกในโคลัมเบีย
ต้นโคคาเป็นพืชเสพติดที่นำมาสกัดเป็นผงโคเคนมีการลักลอบปลูกต้นไม้ชนิดนี้อย่างมาก
จนเรียกได้ว่าครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ และเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาอาชญากรรมและการคอร์รัปชั่นทั้งในประเทศและนานาชาติ
ธนาคารแห่งชาติโคลัมเบียได้ประมาณการไว้ว่าโคลัมเบียมีรายได้จากการค้าโคเคนถึงปีละ
3,000 ล้านดอลล่าร์ต่อปี
ในปี 1989 หลังจากที่ร้านเวลคัมของโคกะเปิดได้ไม่นาน แก๊งค้ายาเสพย์ติดของโคลัมเบียก็ทำการตอบโต้การปราบปรามของรัฐบาล
ด้วยการลอบวางระเบิดทั่วโบโกตา ทำให้ชาวเมืองตกอยู่ในความหวาดกลัว ธุรกิจซบเซา
บรรดาเจ้าของร้านค้าและร้านอาหารต้องใช้เทปมาปิดกระจกหน้าต่างเป็นรูปตัว
"X" เพื่อป้องกันไม่ให้กระจกแตก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชาวเมืองโบโกตาอุ่นใจพอที่จะมานั่งกินอาหารในร้านเหมือนเดิมได้
ตรงกันข้าม โคกะพบว่า ผู้ที่มักจะมาเยือนร้านเวลคัมของเขาคือเด็ก ๆ ข้างถนนที่เข้ามาขอทาน
สิ่งที่ท้าทายอันดับต่อมาของโคกะ คือการชักจูงให้ชาวโคลัมเบียลองชิมซูชิ
"พวกเราไม่รู้จะจัดการปลาดิบอย่างไร" มานูแอล เทโอโดโรผู้ดำเนินรายการทีวีโด่งดังของโทรทัศน์โบโกต้า
ซึ่งเกิดและเติบโตที่ฟิลิปปินส์พูดปนเสียงหัวเราะ "เวลาเราดื่มเหล้าสาเกเราจะคิดว่าเป็นเตกิล่า
และพวกเราจะรู้สึกอึดอัดไม่ถนัดที่ต้องใช้ตะเกียบคีบอาหาร ซึ่งมักจะหลุดลอยอยู่กลางอากาศเสมอ"
เพื่อเป็นการโปรโมตอาหารญี่ปุ่น โคกะจัดเทศกาลซูชิประจำปีขึ้น โดยคิดราคาอาหารเพียงครึ่งเดียวจากราคาเต็มของทุกรายการ
นอกจากนี้แล้วเขาโฆษณาร้านอาหารของเขาด้วยการเปิดชั้นเรียนการทำอาหารญี่ปุ่นให้กับสาวสังคมและแม่บ้าน
ในขณะเดียวกัน เขาทำตัวฟู่ฟ่ามากขึ้นด้วยการเรียนภาษาสเปนิชจนพูดได้คล่อง
เล่นดนตรีลาติน SALSA เป็นดนตรีที่นิยมกันมากมีท่วงทำนองของเพลงบลูส์ แจสและร็อค
ผสมผสานกัน) ในร้านอาหารของเขารวมทั้งเต้นระบำแคริบเบียนซึ่งเป็นที่ชื่นชอบในหมู่ชาวโบโกต้า
ความพยายามของเขาอาจจะสูญเปล่า หากสงครามยาเสพติดไม่จบสิ้นลง ในปี 1993
เมื่อเจ้าพ่อยาเสพติด "พาโบล เอสโคบาร์" ถูกตำรวจยิงตายประกอบกับโคลัมเบียเปิดประตูการค้ากับตะวันตกภายใต้นโยบายชื่อว่า
APERATURA ซึ่งทำให้เกิดเป็นจริงขึ้นโดยประธานาธิบดี ซีซาร์ กาวิเรียร์ในเวลาไม่นานหลังจากที่ได้รับเลือกตั้งเมื่อปี
1990 จนทำให้เกิดการค้าเสรีระหว่างประเทศและการลดกำแพงภาษี
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นข่าวดีสำหรับโคกะทำให้เขาซื้อสินค้านำเข้าในราคาถูกลง
และมีสินค้าพื้นเมืองคุณภาพดีให้เขาเลือกซื้อได้มากขึ้น
"ในขณะนี้ผมสามารถหาซื้อของทุกอย่างที่ผมต้องการได้ในสโตร์ ผมสามารถซื้อข้าวในราคาเพียง
1 ใน 3 ที่ผมเคยต้องจ่ายเมื่อ 5 ปีที่แล้ว" โคกะเล่าด้วยดวงตาส่งประกาย
ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะนี้โคกะไม่จำเป็นต้องหาซื้อของหนีภาษีอีกแล้ว
"เดี๋ยวนี้คนที่เคยค้าของหนีภาษี มีใบอนุญาตนำสินค้าเข้าถูกต้องตามกฎหมาย
ผมไม่จำเป็นต้องซื้อของในตลาดมืดอีกต่อไป" โคกะกล่าว
ทุกวันนี้ธุรกิจของโคกะกำลังบูมมาก เขาเปิดสาขาที่สองเมื่อปี 1991 เขาใช้เงิน
30% จากกำไรสุทธิมาใช้ในการดำเนินการ มีพนักงานทั้งหมด 15 คน และปีที่แล้วมีรายได้ถึง
672,000 ดอลล่าร์ ตอนนี้เขาคิดจะเปิดร้านที่ 3 และเปิดตลาดตามแบบฉบับดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น
ในย่านการค้าของเมือง CALI ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากโบโกต้า 300 กิโลเมตร
ถึงแม้ว่าโคกะจะประสบความสำเร็จในธุรกิจ แต่เขาก็อยากให้นักธุรกิจชาวเอเชียคิดให้ดีก่อนที่จะมาลงทุนในประเทศนี้
เพราะค่าครองชีพอาจจะสูง อย่างไม่น่าเชื่อสำหรับประเทศที่อาจเกิดเหตุการณ์รุนแรงได้ตลอดเวลา
จากการคำนวณแบบคร่าว ๆ มีคนตายนับพัน ๆ คนตั้งแต่ปี 1990 อันเนื่องมาจากการปราบปรามยาเสพติด
สำหรับโคกะ เขาอาศัยอยู่ในอพาร์เมนต์ที่มียามติดอาวุธคอยรักษาความปลอดภัยให้
และเขาจะไม่ขับรถเองเพราะกลัวการถูกดักซุ่มยิง
เศรษฐกิจของโคลัมเบียเติบโตสูงขึ้นในราว 5% ต่อปี น่าจะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงช่องทางธุรกิจใหม่
ๆ ว่าคงมีโอกาสโตตามไปด้วย สำหรับโคกะและครอบครัวรู้สึกปิติยินดีในความสำเร็จของเขา
"ผมเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว คุณย่าของผมอยากรู้ชะตากรรมของผมเป็นอย่างไรท่านได้แผนที่มาและหาเมืองโบโกต้าในแผนที่จนเจอ
ท่านตายไปแล้ว ด้วยความรู้สึกพออกพอใจว่าอย่างน้อยที่สุดก็รู้ว่าผมอยู่ตรงส่วนไหนในแผนที่"
โคกะพูดทิ้งท้าย