ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมอย่างนิปปอน เทเลกราฟ แอนด์ เทเลโฟน (เอ็นทีที)
ต้องเสียเงิน 1 ล้านดอลลาร์ และเวลาอีก 4 ปีสำหรับการวิจัย และพัฒนาวัสดุที่มีขนาดเล็กมาก
ๆ แค่ 2 ไมครอน หรือเท่ากับเศษ 1 ส่วน 50 ของความหนาของเส้นผมมนุษย์เท่านั้น
ถ้าวางไว้บนฝ่ามือ ก็อาจจะคิดว่าเป็นผงธุลีหรือตัวไร
วัตถุชิ้นเล็กจิ๋วที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นนี้คือ "วาล์ว" ตัวหนึ่ง
แต่ไม่ใช่วาล์วธรรมดา ภายในเวลา 10 ปี สิ้นควบคุมการปิดเปิดขนาดจิ๋วหรือไมโครวาล์วแบบนี้
มีโอกาสที่จะถูกนำไปใช้เป็นตัวควบคุมการปล่อยสารกัดโลหะในกระบวนการทำเซมิคอนดักเตอร์
หรือช่วยในการผลิตสารเคมีที่ต้องการความแม่นยำเที่ยงตรงของกระบวนการผลิต
"บางทีอาจจะใช้แทนลิ้นเปิดปิดเส้นเลือดที่พบในเส้นโลหิตฝอยของมนุษย์ด้วยซ้ำไป.
คูวาโน ฮิโรคิ ให้ความเห็น เขาเป็นวิศวกรนักวิจัยอาวุโสและหัวหน้าโครงการที่สถานปฏิบัติการวิจัยสหวิชาของเอ็นทีทีซึ่งตั้งอยู่ชานกรุงโตเกียว
ความชำนาญพิเศษของคูวาโนคือ เรื่องเครื่องจักรกลขนาดไมโคร (MICRO MACHINARY)
ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้าวิทยาการแขนงนี้อาจจะพัฒนาจนสามารถสร้างหุ่นยนต์ที่มีขนาดเล็กมากเท่าตัวเชื้อแบคทีเรีย
ลาดตระเวนไปตามกระแสโลหิตของมนุษย์ เพื่อค้นหาและทำลายเซลล์มะเร็ง
อย่างไรก็ดี ในประเทศเอเชียอื่น ๆ นอกเหนือจากญี่ปุ่นแล้ว เทคโนโลยีชนิดนี้ยังคงอยู่เกินเลยขีดขั้นที่จะนำมาวิจัยและพัฒนาด้วยเหตุผลเก่า
ๆ อย่างเช่น ขาดเงิน ขาดกำลังคน รัฐบาลไม่ช่วย หรือกระทั่งขาดความรู้พื้นฐาน
ตลอดจนวิธีการในการลงสนามแข่งขันระดับโลก
กระนั้นก็ตาม ยังมีบริษัทในภูมิภาคนี้ 2-3 แห่งซึ่งประสบความสำเร็จในด้านนี้เช่นกัน
ผลงานของกิจการเหล่านี้อาจจะยังไม่เฉียบคมเท่าคู่แข่งทางตะวันตกที่มีขนาดใหญ่กว่าและร่ำรวยกว่า
แต่ในแวดวงพื้นที่ซึ่งพวกเขากำลังจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีชีวภาพ หรืออิเล็กทรอนิกส์ด้านภาพ เป็นเสมือนฐานให้อุตสาหกรรมเอเชียสามารถก่อตัวขยายบทบาทขึ้นมาในอุตสาหกรรมไฮเทคแห่งอนาคตได้
อย่างไรก็ดีหากไม่ดำเนินการก้าวต่อ ๆ ไป เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านวิจัย
และพัฒนาของภูมิภาคนี้แล้ว ในไม่ช้าก็อาจสายเกินไป ดังที่ยงยุทธ ยุทธวงศ์
ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและพัฒนาเทคโนโลยีของไทยกล่าวว่า "เราจะต้องตอบสนองกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะจมหายไป"
กิจการยักษ์ใหญ่ด้านไฮเทคของภูมิภาคนี้รวมกันอยู่ในพื้นที่สามเหลี่ยมที่ครอบคลุมญี่ปุ่น
ไต้หวันและเกาหลีใต้ ในหมู่ 3 ชาตินี้ ไต้หวันมีลักษณะพิเศษกว่าเพื่อน
"เพราะไต้หวันขาดฐานทางการวิจัยและพัฒนา แต่ก็เป็นหนึ่งในจำนวนผู้ผลิตฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ซึ่งปรับตัวตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ดีที่สุดของโลก"
ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีชาวญี่ปุ่นผู้หนึ่งกล่าว
ยกตัวอย่าง บริษัทเฟิร์สต์ อินเตอร์เนชั่นแนล คอมพิวเตอร์ (เอฟไอซี) ซึ่งเป็นกิจการของกลุ่มฟอร์โมซา
พลาสติกส์ บริษัทนี้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ผลิตแผงวงจรไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก
ถึงแม้ยากจะเรียกได้ว่าเป็นเจ้าทางเทคโนโลยี แต่ก็สามารถผลิตแผงวงจรคุณภาพสูง
ต้นทุนต่ำได้เดือนละ 200,000 ชิ้น ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น 80% นับแต่เริ่มทำการผลิตสินค้าเหล่านี้ในปี
1983
ในความเป็นจริง เอฟไอซีได้กลายเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมแผงวงจรไฟฟ้าของโลกไปแล้ว
ถึงขั้นที่บริษัทอินเทล ซึ่งเป็นเจ้าแห่งอุตสาหกรรมไมโครโปรเซสเซอร์ ก็ยังต้องรวมเอฟไอซี
ไว้ในรายชื่อกลุ่มที่ได้รับคัดเลือกให้ทำการทดสอบชิพ "เพนเทียม"
อันเป็นชิพไมโครโปรเซสเซอร์พลังสูงรุ่นล่าสุดของบริษัท ก่อนที่อินเทลจะเริ่มเปิดตัวสินค้านี้ในปีที่แล้ว
ศักยภาพในการผลิตของไต้หวันอาจช่วยให้ไต้หวันได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงระดับแนวหน้าของเอเชียได้
แต่ยังต้องอาศัยเวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะตีตื้นขึ้นมามีความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีเหมือนประเทศเกาหลีใต้
เกาหลีใต้มีจุดเด่นในเรื่องการพัฒนาชิปหน่วยความจำแบบ "ดีแรม"
(DRAM - DYNAMIC RANDOM ACCESS MEMORY) จากผลการศึกษาของโนมูระ รีเสิร์ช
ที่เปิดเผยเมื่อปีที่แล้วสรุปว่า "ญี่ปุ่นได้เสียตำแหน่งผู้นำในการเป็นผู้ผลิตดีแรม
(มูลค่าธุรกิจทั่วโลก 20,000 ล้านดอลลาร์) ไปให้กับบริษัทของเกาหลีใต้แล้ว"
นับเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเกาหลีเลยทีเดียว โดยเฉพาะหากพิจารณาจากเหตุผลที่ว่า
ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีส่วนใหญ่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น
ในบรรดาผู้ผลิตเซมิคินดักเตอร์ของเกาหลี ซัมซุง อีเล็กทรอนิกส์อยู่ในฐานะผู้นำมานานแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ผลิตอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ในเอเชียด้วยกัน ซัมซุงจัดเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเซียน
ซัมซุงเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมผลิตชิปในปี 1978 ด้วยการซื้อกิจการร่วมทุนกับผู้ผลิตชิปจากสหรัฐฯ
เพื่อใช้ในเครื่องรับโทรทัศน์สีของซัมซุง กิจการนี้ตั้งขึ้นเมื่อปี 1974
ปีที่แล้วซัมซุงประดิษฐ์ชิปดีแรมได้ 12 ล้านชิ้นต่อเดือน โดย 2 ใน 3 ของจำนวนที่ผลิตออกมานั้นเป็นชิปขนาด
4 เมกกะบิตที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานของอุตสาหกรรมนี้ ซัมซุงยังได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางด้านงานวิจัย
และพัฒนาของตนด้วยการเป็นผู้ผลิตชิปรายแรกของโลกที่ทดลองผลิตดีแรมขนาด 64
เมกกะบิตออกมาเป็นตัวอย่างขั้นต้นได้ ชิปแบบนี้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าชิปรุ่น
16 เมกกะบิตซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเข้ามาแทนที่ชิป 4 เมกกะบิต
"ถ้าทุกอย่างไปได้สวย เราจะเริ่มส่งออกขายเป็นบางส่วนในปีหน้า"
โฮ ควน ยุน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารของแผนกอุปกรณ์หน่วยความจำของซัมซุงกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ยังไม่สามารถผลิตชิปได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เดือนละ
1 ล้านตัวขึ้นไป จนกว่าจะถึงปี 1997 เป็นอย่างเร็วที่สุด ซัมซุงก็ได้กระโจนเข้าสู่การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงอีกระดับหนึ่งแล้ว
นั่นคือ การผลิต "OPTOELECTRONICS" หรือจอภาพสีแบบแบน ซึ่งเป็นจอภาพที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ค
จอภาพแบบนี้จะใช้ทรานซิสเตอร์ที่มีขนาดบางเท่าแผ่นฟิลม์ (ทีเอฟที) นับพันตัวที่ถูกประดิษฐ์มาเพื่อใช้สร้างภาพ
โดยใช้วิธีควบคุมการเคลื่อนไหวของผลึกเหลวที่ถูกประกบด้วยแผ่นแก้วและแสงที่ส่องผ่านมาทางด้านหลัง
ความจริงการผลิตทีเอฟทีน่าจะเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วย สำหรับผู้ผลิตชิปหน่วยความจำเพราะกระบวนการออกแบบมีลักษณะเหมือนกับที่เคยใช้กับชิปหน่วยความจำรุ่นเก่า
ซึ่งใช้ทรานซิสเตอร์ขนาดใหญ่กว่าทรานซิสเตอร์ที่ใช้ในดีแรม 64 เมกกะบิตถึง
20 เท่า
แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วกลับตรงกันข้าม
"คุณกำลังพูดถึงการเอาทรานซิสเตอร์ 1 ล้านตัวมาวางเรียงบนจอภาพที่มีขนาดตั้งแต่
24-25 เซนติเมตร ถ้ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแม้กับทรานซิสเตอร์เพียงนิดเดียวในระหว่างการผลิต
ก็จะทำให้เกิดเป็นจุดเหมือนขี้แมลงวันบนจอภาพ ทำให้จอภาพนั้นใช้ไม่ได้ ต้องโยนทรานซิสเตอร์ทั้งหมดทิ้งไป
แล้วกลับไปเริ่มใหม่ การพัฒนาจอภาพทีเอฟทีของซัมซุงซึ่งเริ่มเมื่อปี 1991
จึงเป็นงานที่ยากลำบากมาก" ลี ซุง โจน กรรมการผู้จัดการของซัมซุงซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโครงการผลิตทีเอฟที
กล่าว
ในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป 12 เดือนพร้อมกับเงิน 100 ล้านดอลลาร์ ลีจึงได้ฤกษ์เริ่มทดลองจอภาพต้นแบบในฤดูใบไม้ผลิปี
1992 ตอนนั้นซัมซุงคาดว่าผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ของบริษัทนี้ จะทำเงินได้ถึง 9,400
ล้านดอลลาร์ภายในปี 2000 ทำให้ลี คุม ฮี ประธานบริษัทซัมซุงต้องลงมาดูการทดลองนี้ด้วยตัวเอง
"ปฏิกิริยาของเขานะหรือ?" ลีเล่าให้ฟัง "เขายักไหล่ แล้วบอกว่า
ไม่เห็นมีความแตกต่างในเจ้าตัวอุปกรณ์ที่ต้องการใช้ทรานซิสเตอร์ในจำนวนที่เท่า
ๆ กับชิปหน่วยความจำแบบเก่าทั้งหลายแหล่"
ซัมซุงไม่ได้เป็นยักษ์ใหญ่ไฮเทคเจ้าเดียวที่สาละวนอยู่กับจอภาพแบน มัตซุชิตะ
อีเล็กทริก อินดัสตรี ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องอีเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภคชั้นแนวหน้าของญี่ปุ่นก็กำลังพยายามประดิษฐ์โทรทัศน์ที่มีจอภาพแบบนี้เหมือนกัน
โดยตั้งชื่อว่า "แฟลต วิชั่น" (FLAT VISION)
โทรทัศน์ตามแบบที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้จะใช้เป็นหลอด "แคโตด"
หรือปีนอิเล็กตรอนที่ใช้แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวยิงไปที่จอภาพที่ฉาบด้วยสารเรืองแสงด้วยความเร็ว
15,000 ครั้งต่อวินาที เพื่อสร้างภาพ เทคนิคดังกล่าวได้ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับการผลิตจอภาพหลอดรังสีแคโตด
(ซีอาร์ที) ปีละ 100 ล้านจอทั่วโลกในแต่ละปี สำหรับใช้กับโทรทัศน์และจอคอมพิวเตอร์
แต่ในทศวรรษที่ 1990 "ทีวีสีไม่ได้อยู่เฉพาะแค่ในบ้าน" ฟูจิโมริ
โตชิมิตสุ ผู้จัดการทั่วไปของแผนกทดลองงานวิจัยด้านดทรทัศน์ของมัตซูชิตะในโอซากากล่าว
"แต่จะติดตั้งอยู่ทั้งในสำนักงานหรือแม้แต่ในรถ"
กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะในญี่ปุ่น ประเทศที่อิ่มตัวกับทีวีสี
ผู้บริโภคตอนนี้กำลังให้ความสนใจอย่างมากกับโทรทัศน์จอขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ตัวขนาดและจอของโทรทัศน์ต้องขยายใหญ่ขึ้นตาม
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะจอภาพรังสีแคโตดมีข้อจำกัดอยู่ที่ระดับมุมที่จะใช้ยิงอีเล็กตรอน
และยิ่งถ้าสร้างภาพขนาดใหญ่ขึ้นเท่าไร ระยะยิงของปืนอีเล็กตรอนจะต้องถอยห่างออกจากจอภาพด้านหน้าไปด้านหลังมากขึ้น
ดังนั้น โทรทัศน์ขนาด 43 นิ้ว มีน้ำหนักถึง 140 กิโลกรัม หนา 63 เซนติเมตร
เมื่อเอามาตั้งไว้ในบ้านคนญี่ปุ่นแล้วจึงคับเต็มห้อง
ทั้งหมดนั้นจึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมโทรทัศน์ขนาด 100 นิ้ว จึงไม่ใช่โทรทัศน์
"ที่แท้จริง" และเป็นเหตุผลให้มีการวางโครงการทำจอภาพที่มีลักษณะคล้ายกับเครื่องฉายภาพยนตร์
แต่ปัญหาก็คือ การแสดงความละเอียดของสียังไม่ดีพอ และระยะทำมุมยิงภาพที่มีขีดจำกัด
แต่มัตซูชิตะกลับไปยึดความคิดเกี่ยวกับจอภาพสำหรับทีวีขนาดเล็กแทน เมื่อปีที่แล้วมัตซูชิตะได้เปิดตัว
FLAT VISION TV ขนาด 14 นิ้วขึ้นเป็นครั้งแรก (จนถึงตอนนี้มีขายในญี่ปุ่นประเทศเดียวเท่านั้น)
โดยมีความหนาเพียง 9.8 เซ็นติเมตรเท่านั้น
มัตซูชิตะเคยพัฒนาทีวีแบบนี้มาแล้วเมื่อปี 1985 โดยทำออกมาร่วมแสดงในงานวิทยาศาสตร์ที่จัดขึ้นที่ซึคูบา
แต่เป็นทีวีที่ใช้ต้นทุนการผลิตสูงมาก
"แม้จะผลิตในสเกลที่ทำให้ต้นทุนต่ำมากที่สุดแล้ว ก็ยังต้องใช้ต้นทุนมากกว่า
2,000 ดอลลาร์ต่อเครื่อง" ชิโอทานิ โตโมกาสุ ผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มพัฒนาวิศวกรรมมัตซูชิตะกล่าว
"ราคาระดับนี้สู้ไม่ได้กับทีวีสีแบบเดิม"
เท่ากับว่าโครงการวิจัยดังกล่าวอาจจะต้องโดนระงับไว้ก่อน ทีมงานวิจัยซึ่งมีอยู่
10 คนได้ถูกตัดลงเหลือเพียงครึ่งเดียว อย่างไรก็ดีชิโอทานิยืนยันจะเดินหน้าต่อไป
เขารายงานกับผู้บังคับบัญชาโดยตรงว่า "เราไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มขึ้นเลย
สำหรับการใช้หัวคิด ขอให้เราได้ลองอีกครั้งหนึ่ง"
ชิโอทานิได้รับไฟเขียวให้เดินหน้าต่อ หลังจากใช้เวลาปรับปรุง แก้ไขอยู่หนึ่งปี
มีการเปลี่ยนแบบไปมาถึง 500 แบบ ทีมงานวิศวกรรมของชิโอทานิก็สร้างทีวีต้นแบบขึ้นมาได้
เจ้านายของเขาสานงานต่อทันที โดยพาชิโอทานิพร้อมกับเครื่องต้นแบบไปแสดงให้ทานิอิ
อิคิโอ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ของมัตซูชิตะได้เห็นกับตา อาคิโอชอบใจมาก
แถมยังพูดด้วยว่า "ผมนึกว่าเราเลิกโครงการนี้ไปแล้วเสียอีก"
โชคดีที่พวกเขาไม่ได้เลิกโครงการ ทั้ง ๆ ที่ต้องทุ่มงบประมาณถึง 120 ล้านดอลลาร์ก็ตาม
มัตซูชิตะคาดว่ายอดขายทีวีแฟลต วิชั่น คงจะพุ่งขึ้นเป็น 10 ล้านดอลลาร์ภายในปี
2000 หลังจากคาดว่าจะเริ่มออกจอภาพแสดงผลที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบตั้งโต๊ะออกสู่ตลาดในปีนี้
แต่ซัมซุงและมัตซูชิตะต่างก็เป็นกลุ่มธุรกิจด้านสินค้าไฮเทคมีลักษณะพิเศษที่ต่างจากบริษัทไฮเทคส่วนใหญ่ในเอเชียด้วยกัน
คือเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีความพร้อมที่จะทุ่มทรัพยากรในทุกด้าน แต่ก็มีบริษัทขนาดเล็ก
ๆ อีกจำนวนมาก ที่ประสบความสำเร็จจากการเลือกใช้เทคโนโลยี่ชั้นสูงในแขนงต่าง
ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพของตัวเอง
บริษัท อูเม็กซ์ ดาต้า ซิสเต็ม ของไต้หวันเป็นตัวอย่างหนึ่ง บริษัทนี้เริ่มตั้งขึ้นเมื่อ
7 ปีที่แล้ว หลังจาก เดวิด แวง ซึ่งเป็นวิศวกรด้านออกแบบอุตสาหกรรมฝีมือเยี่ยม
กับเพื่อนร่วมงานอีก 4 คน ได้ลาออกจากมิโครเท็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์
ซึ่งเป็นบริษัทซัพพลายเออร์ไต้หวันที่บริการจัดส่งเครื่องอิมเมจ สแกนเนอร์ซึ่งเป็นเครื่องสแกนเอกสารและรูปภาพสำหรับป้อนให้กับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง
ผู้ก่อตั้งทั้ง 5 เริ่มธุรกิจครั้งแรกด้วยเงินทุน 175,000 ดอลลาร์ และใช้เวลา
1 ปีเพื่อผลิตเครื่องสแกนภาพต้นแบบออกมา ปี 1993 ยูเม็กซ์ผลิตเครื่องสแกนภาพที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะคิดเป็นสัดส่วน
11% ของโลก ผลสำรวจของนิตยสารคอมพิวเตอร์ชั้นนำของสหรัฐฯ ได้จัดอันดับให้ยูเม็กซ์อยู่ในกลุ่มผู้ผลิตเครื่องสแกนภาพกลุ่มเดียวกับยักษ์ใหญ่อย่างฮิวเล็ตต์
แพ็คการ์ด และชาร์ป
แวง ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ของยูเม็กซ์กล่าวว่า "เราภูมิใจอย่างยิ่ง
ที่บริษัทเล็ก ๆ อย่างเราบรรลุถึงจุดนี้ได้ ด้วยฝีมือของวิศวกรที่ได้รับการศึกษาในไต้หวัน"
เทคโนโลยีที่ใช้กับเครื่องสแกนภาพนี้ ไม่ใช่เป็นของไต้หวัน ผู้ที่เป็นต้นคิดคือ
"ซีร็อกซ์" เป็นผู้วางแนวคิดนี้ไว้เมื่อทศวรรษ 1970 แต่ชิ้นส่วนสำคัญที่อยู่ในเครื่องสแกนภาพที่ใช้
"อ่าน" ภาพด้วยระบบอีเล็กทรอนิก สามารถหาซื้อได้ในไต้หวันด้วยราคาเพียง
10 ดอลลาร์เท่านั้น ดังนั้นส่วนต่างที่เป็นกำไรของผู้ผลิตเครื่องสแกนเนอร์จึงสูงมาก
เพราะเครื่องสแกนภาพที่ขายกันทั่วไปมีราคาอยู่ระหว่าง 1,000-3,000 ดอลลาร์ต่อเครื่อง
ปีที่แล้วยูเม็กซ์มียอดขายเกือบ 60 ล้านดอลลาร์
หนึ่งปีก่อนที่ยูเม็กซ์จะบรรลุความสำเร็จ ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ในอินเดียได้ใช้วิธีการคล้าย
ๆ กันนี้มาแก้ปัญหางานที่ต้องใช้ต้นทุนจำนวนมหาศาล นั่นคือการสร้างโปรแกรมเพื่อคาดการณ์การเกิดมรสุม
เรื่องนี้เริ่มขึ้นในปี 1986 ตอนนั้นสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งอินเดียในเบงกาลอร์ต้องการสร้างแบบจำลองการเกิดมรสุมในพื้นที่แถบเอเชียใต้
เพื่อช่วยให้นักอุตุนิยมได้ทำนายปริมาณน้ำฝนในปีนั้นได้อย่างแม่นยำ การพยากรณ์อากาศที่แม่นยำสามารถช่วยรักษาชีวิตและทรัพย์สินได้
แต่คอมพิวเตอร์ของศูนย์กลับมีสมรรถนะเพียง 1 ใน 4 ของกำลังที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้น
ทางออกอาจจะทำได้โดยการสั่งซื้อซูเปอร์คอมพิวเตอร์อย่างที่ผลิตโดยบริษัท
เคลย์ รีเสิร์ช แห่งสหรัฐฯ แต่ก็มีข้อจำกัดกล่าวคือ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก
และมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดมาก ตอนนั้น เคลย์ขายเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในราคา
25 ล้านดอลลาร์ และทางวอชิงตันก็วางกรอบควบคุมการใช้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเครื่องไปใช้ในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์
คอมพิวเตอร์ของ "โฟลโซลเวอร์" คือทางเลือกของสถาบันฯ โฟลโซลเวอร์เป็นโครงการร่วมระหว่าง
"เนชั่นแนล แอร์โรสเปซ ลาบอราทอรี" ซึ่งเป็นกิจการของรัฐ และ "ไวโปร
ซิสเต็ม" เริ่มขึ้นในปี 1991 แนวทางของโฟลโซลเวอร์ต่างไปจากเครื่อง
"ซูเปอร์" ของเคลย์ เพราะโฟลโซลเวอร์ใช้หน่วยประมวลผลแบบคู่ขนาน
(PARALEEL PROCESSING)
เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบันมักจะใช้วิธีประมวลผลแบบลำดับข้อมูล
(SEQUENTIAL APPROACH) ซึ่งใช้ตัวโปรเซสเซอร์ความเร็วสูงเพียงตัวเดียวคำนวณข้อมูลจำนวนมาก
ๆ ทีละตัว แต่เครื่องคอมพิวเตอร์แบบคู่ขนานซึ่งตอนนี้เป็นธุรกิจที่เติบโตมากในสหรัฐฯ
ใช้วิธี "แยก" ปัญหาที่ป้อนให้คอมพิวเตอร์หาคำตอบ ออกเป็นชุดข้อมูลหลาย
ๆ ชุด แล้วป้อนข้อมูลแต่ละชุดซึ่งมีขนาดเล็กลงผ่านชุดไมโครโปรเซสเซอร์ที่ใช้ในเครื่องพีซี
อย่างเช่น ชิปรุ่น 486 ของอินเทล
จุดอ่อนของเจ้าเครื่องดังกล่าวก็คือ คอมพิวเตอร์รุ่นนี้ต้องการซอฟต์แวร์ชนิดพิเศษไว้จัดทำข้อมูลและแบ่งข้อมูลเป็นจำนวนเล็ก
ๆ ให้โปรเซสเซอร์แต่ละตัว โชคยังดีที่อินเดียมีไพ่ใบเด็ดอยู่ที่ความสามารถในการพัฒนาซอฟต์แวร์
และเครื่องฟลอโซลเวอร์ซึ่งสามารถสร้างภาพลมมรสุมเป็นภาพ 3 มิติได้ด้วย ใช้ตัวโปรเซสเซอร์ของพีซีเพียง
5 ตัวเท่านั้น ทำให้ต้นทุนการพัฒนาฮาร์ดแวร์ไม่สูงมาก ได้มีการนำเอาตัวโปรเซสเซอร์
3 รุ่นมาทดสอบเทียบเคียงประสิทธิภาพกับโปรเซสเซอร์ X-MP ของเครย์ ปรากฏว่าคอมพิวเตอร์ที่อินเดียพัฒนาขึ้นมาเองตัวนี้ใช้เวลา
8 วินาที ในการปฏิบัติการกับตัวชุดข้อมูลที่ป้อนเข้ามา ขณะที่โปรเซสเซอร์ของเครย์ใช้เวลาเพียง
3.25 วินาที ซึ่งนับว่าไม่เลวนักเพราะแทนที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายนับพันล้านดอลลาร์
ทางสถาบันกลับเสียต้นทุนพัฒนาขึ้นมาเองเพียง 98,000 ดอลลาร์
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทไทย ออร์คิด แลปที่นครปฐม ก็เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยี่ชั้นสูงหน้าใหม่อีกรายหนึ่งของภูมิภาคนี้
ขณะที่ห้องทดลองชีวเทคโนโลยีทุกแห่งในโลกต่างก็มีห้องควบคุมอุณหภูมิ และห้องฆ่าเชื้อพร้อมด้วยเคาเตอร์ที่ทำด้วยสเตนเลสสตีล
และหลอดทดลอง แต่ที่นี่กลับเพาะชำต้นไม้ในขวดเหล้า จอห์นนี วอลเกอร์
แต่ความสำเร็จในไทย ออร์คิด แลปไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน
ไพบูลย์ กาวินเลิศวัฒนาได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเมื่อปี 1989 เขาจบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านการเพาะพันธุ์ไม้
และยังเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์การสหประชาชาติด้วย บริษัทของเขามีเจ้าหน้าที่อยู่
45 คน และมีเรือนเพาะชำอยู่ในต่างจังหวัดหลายแห่ง ไทย ออร์คิด แลป ได้นำเอาเทคนิคซึ่งสามารถสร้างพันธุ์ไม้ขึ้นมาใหม่ได้จำนวนมากมายจากเยื่อของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ซึ่งช่วยส่งเสริมให้การส่งออกกล้วยไม้ของไทยเพิ่มขึ้นจาก 60% ของตลาดโลกในปี
1980 มามีสัดส่วนเป็น 90% ในปี 1992
ความสำเร็จอันงดงามของธุรกิจเพาะปลูกกล้วยไม ้ส่งผลให้เกษตรกรในนครปฐมเปลี่ยนจากการเพาะปลูกองุ่น
และผักมาปลูกดอกไม้กันทั้งหมด ไทย ออร์คิด แลป ช่วยให้เกษตรกรย่นระยะเวลาในการเพาะพันธุ์ไม้
100,000 ตาได้จากต้น "แม่" ต้นเดียว ก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาถึง
20 ปีจึงจะสามารถเอาพันธุ์กล้วยไม้ใหม่ออกมาขายได้ แต่ตอนนี้กระบวนการดังกล่าวใช้เวลาเพียง
3-5 ปีเท่านั้น
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น บริษัทเริ่มขยายตัวจากการเพาะพันธุ์กล้วยไม้ เข้าไปยังพืชเศรษฐกิจอื่น
ๆ อาทิ หน่อไม้ฝรั่งและไม้สัก เมื่อปีที่แล้วไทยออร์คิด แลป ส่งออกกล้วยไปขายต่างประเทศถึง
1 ล้านหวี "ถ้าคุณไม่เชี่ยวชาญในเรื่องการเพาะเยื่อไม้แล้ว คุณก็ไม่สามารถเพิ่มผลผลิตได้"
ไพบูลย์เล่าให้ฟัง
ที่มาเลเซียมีอีกโครงการหนึ่งที่นำเอาชีวเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งก็ได้ให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจเช่นกัน
วาย. บี. โมฮัมมัด เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทเวชภัณฑ์ เรมี โฮลดิ้ง เอสดีเอ็น
บีเอชดี เขาได้เดินทางไปทั่วโลก เพื่อมองหาธุรกิจด้านเทคโนโลยีชั้นสูงที่น่าสนใจอยู่หลายปี
แต่ก็หาไม่ได้ จึงเข้าไปติดต่อกับบริษัทมาเลเซีย เทคโนโลยี ดีเวลลอปเมนท์
ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ทำงานให้กับโครงการวิจัย โดยอาศัยเงินทุนจากรัฐบาล
และเขาก็ได้พบคำตอบที่บ้านเกิดของเขาเอง นั่นคือ วัคซีนสำหรับสัตว์
นักวิจัยที่ยูนิเวอร์ซิตี้ เปอร์ทาเนียน มาเลเซียได้พัฒนาวัคซีนต้านความร้อนตัวใหม่สำหรับรักษาโลกนิวคาสเซิล
ซึ่งเป็นไวรัสที่มีผลต่อระบบหายใจและระบบประสาทของไก่ ถ้าไก่ติดเชื้อตัวนี้แล้ว
จะไม่มีโอกาสรอดได้เลย
เนื่องจากโครงการนี้ได้รับเงินช่วยเหลือจากทางรัฐบาล เอ็มทีดีซีจึงได้รับมอบหมายให้มาเข้าร่วมและให้คำแนะนำแก่เรมี
ผลก็คือ หลังจากเอ็มทีดีซี เข้าไปถือหุ้นในเรมีโฮลดิ้ง 10% เอ็มทีดีซีก็ได้ดึงเอาบริษัทจากออสเตรเลียคือ
อาร์เธอร์ เวปสเตอร์ พีทีอี. จำกัด เข้ามาร่วม ทั้งนี้ ด้วยหวังให้ช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยีในการทำวัคซีนเพิ่มเติม
โดยจะได้รับหุ้น 30% เป็นผลตอบแทน
การนำวัคซีนกับวิศวกรรมด้านพันธุกรรมมาผสมผสานกันช่วยให้เรมีสามารถเจาะตลาดระดับรองได้
หมายถึง ไก่ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่ขยายตัวเร็วที่สุด เนื่องจากข้อห้ามทางศาสนา
ที่ห้ามรับประทานเนื้อหมูและเนื้อวัว เฉพาะไก่ย่างที่ขายในมาเลเซียเท่านั้นก็มีมูลค่าปาเข้าไปถึง
500 ล้านดอลลาร์เข้าไปแล้ว และคาดว่าจะขยายตัวได้ปีละ 20%
ตัวเลขดังกล่าวแม้จะดูไม่สูงมาก แต่ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้น และถ้าเรมีตัดสินใจเข้าไปในธุรกิจยาที่อาศัยวิศวกรรมด้านชีวภาพอย่างเต็มตัว
โอกาสเติบโตมีอยู่สูงมาก ยกตัวอย่างในญี่ปุ่น ตลาดเวชภัณฑ์ชีวภาพมีมูลค่ามากกว่า
3,700 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ดังนั้นโอกาสที่จะเข้าไปเจาะตลาดนี้จึงมีอยู่สูง
ซึ่งทางบริษัทก็คาดว่าจะเริ่มทำการขายวัคซีนชุดแรกได้ในเดือนหน้า และบริษัทก็หวังด้วยว่าจะทำกำไรได้บ้างในปีนี้
ไม่ว่าจะเป็นวาลว์ขนาดจิ๋วโทรทัศน์โรงเพาะชำหรือไก่ ผลที่ได้จากนวตกรรมด้านเทคโนโลยีชั้นสูง
มักจะให้ผลคุ้มค่ากับความเจ็บปวดที่ได้รับ บริษัทที่ได้อ้างถึงเหล่านี้ ต่างเริ่มเดินบนเส้นทางเพื่อก้าวข้ามธรณีประตูแห่งเทคโนโลยีชั้นสูงแล้ว