|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส ทุ่มเงินทุนเกือบ 300 ล้านบาท ขยายพื้นที่โรงงานเพิ่มกำลังการผลิตในจังหวัดลำพูนและอยุธยา รองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่โรงงานในประเทศจีน วางเป้าคุ้มทุนในปี 2550 หลังจากเพิ่มกำลังการผลิตเป็นปีละ 3 ล้านชิ้น ด้านผู้บริหาร มั่นใจรายได้ทั้งปีโตกว่า 20% หนุนให้ผลงานครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก ด้านโบรกเกอร์ประสานเสียงแนะซื้อราคาเหมาะสมอยู่ที่ 28.50-33 บาท
นายอิศรา ศิวะกุล รองประธานและผู้จัดการทั่วไป บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายพื้นที่โรงงานที่จังหวัดลำพูน เนื่องจากปัจจุบันโรงงานดังกล่าวมีพื้นที่ในการผลิต 90% โดยจะมีการขยายพื้นที่เพิ่มอีก 1 หมื่นตารางเมตร ซึ่งโครงการขยายพื้นที่ครั้งนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 7.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 280 ล้านบาท และคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในครึ่งปีแรกของปี 2550 นี้
พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตในโรงงานที่จังหวัดอยุธยา เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่คาดว่าจะเพิ่มเข้ามาในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุน 2.5 แสนเหรียญสหรัฐ หรือประมาณเกือบ 10 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในส่วนของโรงงาน Jiaxing ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น ขณะนี้โรงงานดังกล่าวยังประสบปัญหาภาวะการขาดทุนอยู่ โดยมีกำลังการผลิตเพียง 2 ล้านชิ้นต่อปี แต่บริษัทมีแผนจะขยายกำลังการผลิตขึ้นเป็น 3 ล้านชิ้นต่อปี ภายในสิ้นปี 2549 นี้ หรืออย่างช้าไม่เกินกลางปี 2550 ซึ่งกำลังการผลิตในระดับดังกล่าวจะทำให้ถึงจุดคุ้มทุนได้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นในอนาคต และคาดว่าจะเริ่มมีผลกำไรตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นไป
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนั้น นายอิศรากล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแนวโน้มผลประกอบการดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวม 7,069.95 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,031.26 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจ IC และ PCBA ซึ่งเป็นรายได้หลักขยายตัวดี รวมทั้งยังมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มในหลายโรงงาน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้น
"ในปี 2549 นี้ บริษัทได้ตั้งเป้าอัตราการขยายตัวของรายได้ไว้ไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1.23 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรายได้ในครึ่งปีแรกเติบโต 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหลังธุรกิจ IC, PCBA และ RFID เติบโตต่อเนื่อง"
อย่างไรก็ตาม จากทิศทางค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกทั้ง 100% หากเงินบาทแข็งค่าจะส่งผลต่อการดำเนินงาน โดยเฉพาะกำไรขั้นต้น (Margin) ให้ลดลง โดยในช่วง 1-2 ปีก่อนค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ในครึ่งปีแรกนี้ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 38-39 บาทต่อดอลลาร์ ดังนั้นหากค่าเงินบาทมีการแข็งค่าทุก 10% จะทำให้บริษัทขาดทุนทันที ไตรมาสละ 120 ล้านบาท
โบรกเกอร์แนะซื้อหุ้น HANA
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันซ่า ประเมินฐานะการเงินของ HANA ว่า บริษัทยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่มีหนี้สินระยะยาว จึงไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจ่าย รวมถึงมีแนวโน้มการขยายกิจการได้อีกมากในอนาคต และคาดว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการในปี 2549 ในอัตราหุ้นละ 1.52 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 5.8% ดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อ โดยมูลค่าเหมาะสมเท่ากับ 33 บาท บนสมมติฐาน P/E 12 เท่า
บล.ซิกโก้ ให้ความเห็นว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ HANA เองที่ยอดขายมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น แม้จะมีปัจจัยเรื่องค่าเงินบาท และต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นเข้ามากดดัน แต่ยังคงแนะนำ "ซื้อ" โดยเราประเมินมูลค่าเหมาะสมไว้เท่ากับ 28.50 บาท โดย ณ ระดับราคาปัจจุบันมี Total Return เท่ากับ 15.6%
ขณะที่ บล.ฟาร์อีสท์ ได้แนะนำให้ซื้อเช่นกัน และได้ปรับเพิ่มมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานในปี 2549 จาก 29.00 บาท เป็น 29.70 บาท โดยยังคงอิง Prospective P/E ที่ 11 เท่า และคาดว่า HANA จะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2549 ประมาณ 5.82% หรือจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท ทำให้ผลตอบแทนโดยรวมอยู่ที่ 21.05%
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น HANA ล่าสุด วานนี้ (31 ส.ค.) ราคาหุ้นไม่ได้มีการเคลื่อนไหวจากวันก่อนมากนัก โดยมีราคาต่ำสุดที่ 26.00 บาท และปิดที่ราคาสูงสุด 26.25 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 0.25 บาท หรือ 0.96% มูลค่าการซื้อขายรวม 28.65 ล้านบาท
|
|
|
|
|