Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2537








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2537
"REENGINEERING กสิกรไทยสู่ธนาคารแห่งศตวรรษใหม่"             
 

 
Charts & Figures

ตัวเลขสำคัญทางการเงินของ TFB
ตัวเลขอัตราส่วนที่สำคัญของ TFB

   
related stories

"สนามเป้า : เป้าหมายแรกของ TFB

   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารกสิกรไทย

   
search resources

ธนาคารกสิกรไทย, บมจ.
บัณฑูร ล่ำซำ
Banking




2538 จะเป็นปีที่ธนาคารกสิกรไทยครบรอบ 50 ปี เป็นปีที่การเปลี่ยนแปลงซึ่งเริ่มต้นในปีนี้ภายใต้แนวคิดเรื่อง "REENGINEERING กระบวนการทำงาน" จะเริ่มปรากฏผล และเป็นปีที่ธนาคารจะเผยโฉมดีไซน์ภายในสำนักงานใหม่ในโทนสีเขียว โดยเฉพาะสาขาของธนาคารในเขตกรุงเทพมหานครประมาณ 120 แห่ง

การเปลี่ยนแปลงของธนาคารกสิกรไทยที่เริ่มขึ้นในปีนี้เกิดจากแนวคิดของบัณฑูร ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคาร ซึ่งมองทิศทางการแข่งขันในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ว่าจะมีเพิ่มมากขึ้นและรุนแรงขึ้นในตลาดลูกค้ารายย่อย แม้ว่าพนักงานของธนาคาร 3 ใน 4 ส่วนจะทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการลูกค้ารายย่อยอยู่แล้วก็ตาม แต่บัณฑูรเห็นว่างานที่พวกเขาทำส่วนมากเป็น "การทำข้อมูลมากกว่าการบริการลูกค้า"

บัณฑูรไม่ต้องการให้พนักงานของธนาคารเป็น "กรรมการปกขาว" ใช้ชีวิตการทำงานส่วนใหญ่ในการเตรียมข้อมูล เขาคิดว่าข้อมูลควรจะถูกเตรียมโดยระบบแล้ว พนักงานควรใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตการทำงานใช้ข้อมูลนั้นและให้บริการแก่ลูกค้า

การเปลี่ยนแปลงภายใต้แนวคิดของบัณฑูรในครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อทิศทางการทำธุรกิจของแบงก์ในอนาคต แบงก์จะต้องให้ความสำคัญกับงานบริการลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง พนักงานของแบงก์ต้องผ่านการอบรมงานขายหรือการทำมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งเป็นหัวใจของการทำธุรกิจรีเทล พนักงานของแบงก์ต้องออกไปพบปะลูกค้าเพื่อขายบริการอย่างใดอย่างหนึ่งของแบงก์ซึ่งจะมีมากมายหลายประเภทตามความต้องการของลูกค้า

ทิศทางเช่นนี้เป็นการก้าวเดินตามทิศทางการพัฒนาของแบงก์สหรัฐ ซึ่งซิตี้แบงก์เคยก้าวผ่านมาแล้ว และได้เป็นผู้นำในธุรกิจรีเทล แบงก์

บัณฑูรมองว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวไปสู่รีเทล แบงก์นั้น เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับธนาคารพาณิชย์ไทยทุกแห่ง โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ ที่มีกระบวนการทำงานที่ยุ่งยากซ้ำซ้อนและสิ้นเปลืองมาก

การเปิดเสรีทางการเงินที่จะมีการ DEREGULATION กฎระเบียบต่าง ๆ ลงอีก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแรงบีบคั้นจากต่างประเทศ โดยเฉพาะแกตต์ (GATT) บวกกับการพัฒนาตลาดทุนภายในประเทศที่ทำให้เกิดช่องทางและโอกาสในการระดมทุนได้มากขึ้น ภาวะเช่นนี้ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือปรับตัว

เป้าหมายของบัณฑูรนั้น ไม่เพียงทำให้ธนาคารกสิกรไทยสามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อื่น ๆ ภายในประเทศเท่านั้น แต่มาตรฐานการให้บริการของธนาคารจะต้องเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งสามารถแข่งขันกับธนาคารต่างประเทศได้ด้วย

เมื่อมีฐานความมั่นคงในธุรกิจหลักคือรีเทล แบงก์ในไทยที่แข็งแกร่งแล้ว การตามไปให้บริการลูกค้าในต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากแต่อย่างใด นี่คือความหมายการเป็นธนาคารแห่งภูมิภาคของบัณฑูร

แนวคิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของบัณฑูรต่อแบงก์กสิกรไทยในเวลานี้ ซึ่งมีขนาดขององค์กรประมาณ 16,000 คน ไม่ใช่เรื่องเกินเลยหากจะกล่าวว่าเป็นเสมือนหนึ่ง "การพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน"

อุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ไทยกำลังย่างก้าวเข้าสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของศตวรรษที่ 90 โดยการเขียนประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อมต่าง ๆ

ทั้งนี้เป็นเวลาเกือบศตวรรษแล้วที่อุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ไทยดำเนินมาอย่างไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก กล่าวกันว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ไม่เปลี่ยนก็ไม่เป็นไร

"มันเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการก็ยังพอได้ผลตอบแทนที่ดี ทั้งที่คุณภาพในหลาย ๆ จุดก็ไม่น่าประทับใจนัก ลูกค้าก็บ่นอยู่เรื่อย ๆ แต่ลูกค้าไม่รู้จะไปเลือกใคร เพราะมีให้เลือกอยู่แค่นี้" นี่เป็นข้อวิจารณ์ของบัณฑูร-นักธนาคารรุ้นหนุ่มที่กำลังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการธนาคารไทย

สภาพที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมนี้ เพราะอัตราการเติบโตของแบงก์ยังคงเส้นคงวา ยังไปได้เรื่อย ๆ อย่างสบาย สิ้นปีมีกำไรมีโบนัสทุกคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ไม่มีความรู้สึกว่าต้องดิ้นรน สำหรับคนที่มีไฟ มีความคิดสร้างสรรค์ หากอยู่ในสภาวะที่อึดอัด ทำอะไรใหม่ไม่ได้ ก็อาจจะไปหาที่อื่นที่มันท้าทายความสามารถส่วนตัวของเขามากกว่า

"หลายคนที่ไปจากองค์กรใหญ่ ๆ ก็พูดอย่างนี้ว่าแบงก์ไม่ยอมเปลี่ยน จะทำอย่างโน้นนี้ก็ติดไปหมดในที่สุดก็หมดแรง ไม่อยากอยู่เจรจาเกลี้ยกล่อมให้เปลี่ยน ก็ไปดีกว่า" ซึ่งเรื่องนี้บัณฑูรมองว่า "เป็นความน่าอันตรายอย่างยิ่งขององค์กร คือคนเก่ง ๆ ไม่ยอมอยู่ เพราะสภาวะไม่มีอะไรน่าสนใจ"

บัณฑูรให้ความเห็นต่อการไม่เปลี่ยนแปลงของแบงก์พาณิชย์ไทยว่า "ที่ผ่านมา ระหว่างแบงก์ด้วยกันมันก็ประจัญกันอยู่อย่างนี้ ไม่มีใครได้ใครเสียอะไรพอ ๆ กัน นี่คือเหตุผลทำไมไม่ยอมเปลี่ยน นี่คือเหตุผลที่ว่าเราไม่ได้เสียมาร์เก็ตแชร์มากมาย แต่เราก็ไม่ได้เสียมาร์เก็ตแชร์ไป ไม่มีใครเดือดร้อน ในวงการก็ยอมรับกันว่าคนนี้จะได้มาร์เก็ตแชร์ 25% คนนี้ได้ 14% คนนี้ได้ 10% ก็ยอมรับกันอยู่ในสภาวะที่ไม่มีใครล้ำใคร เป็นการเกาะกลุ่มกันไป"

ว่าไปแล้วนี่คือสภาพที่เรียกว่า "แบ่งกันกิน"

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาแบงก์พาณิชย์ไทยได้รับการโอบอุ้มคุ้มครองจากธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างมาก โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการจำกัดผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งต่อไปนี้บัณฑูรมองว่า "อย่าไปหวังพึ่งรัฐบาลอีกต่อไปว่าต้องปิดประตู ไม่ให้เข้ามาแข่งขันกระแสของโลกมันเป็นตัวกดดันให้เปิด การอยู่รอดไม่ใช่ด้วยการปิดประตู ต้องเปิดประตู และแข็งแรงพอที่จะให้เขาเข้ามาได้"

แบงก์ชาติได้มีการเปิดเผยด้วยว่าปีนี้ระบบการเงินจะโต 19-20% นักวิชาการส่วนมากก็ทำนายเศรษฐกิจดีหมด มองไม่เห็นอะไรที่ไม่ดีสักอย่าง หากวัดในแง่ของตัวเลข

แต่ถ้ามองจริง ๆ เบื้องหลังตัวเลข มองออกไปนอกอาณาเขตหรือนอกกรอบธุรกิจที่เคยทำกันมา

ณ ตอนนี้ แบงก์ชาติได้เข้ามาทำธุรกิจ BIBF แล้วและมีการทยอยเข้ามาขอใบอนุญาตนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

บริษัทใหญ่ ๆ ที่เป็นมหาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการของแบงก์ก็ได้

นอกจากนี้ก็มีแนวโน้มว่าไทยอาจต้องเปิดให้แบงก์ต่างชาติเข้ามาตั้งสาขาในประเทศเพิ่มมากขึ้น สืบเนื่องจากแรงบีบคั้นของแกตต์

บริษัทไทยจำนวนมากได้ออกไปดำเนินธุรกิจนอกประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอินโดจีนและจีน หากไม่มีสาขาของธนาคารพาณิชย์ไทยตามเข้าไปให้บริการ บริษัทเหล่านี้ก็ต้องอาศัยสาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศในย่านนั้นแทน หรือสาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศในย่านนั้นแทน หรือสาขาของธนาคารพาณิชย์ไทยที่ตามไปให้บริการไม่มีมาตรฐานเป็นสากล บริษัทไทยก็ยังจะต้องใช้ธนาคารต่างประเทศอยู่ดี

นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจไฟแนนซ์นั้นก็มีอัตราการเติบโตที่สูงมากอย่างรวดเร็ว แต่แบงก์ใหญ่มักจะมองว่าไฟแนนซ์จะมาสู้แบงก์ไม่ได้

ทั้งนี้บัณฑูรคิดว่ามีทั้งมองถูกและผิด

"มองถูกในประเด็นที่ว่า หากใช้ระบบเดียวกันอย่างนี้ สู้ไม่ได้แน่ เพราะแบงก์มีเครือข่ายมากกว่าใหญ่กว่า นอกเสียจากว่าไฟแนนซ์จะมาด้วยอีกระบบหนึ่ง อีกปรัชญาหนึ่ง คือไม่อิงเครือข่ายสาขาที่เข่าสู่ลูกค้า ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ อย่างกรณี ซิตี้แบงก์ ก็สามารถให้บริการเครือข่ายธนาคารพาณิชย์ได้ โดยไม่มีเครือข่ายสาขา เพราะสภาวะแวดล้อมบีบให้เขาต้องทำ หรือว่าบริษัทเงินทุนที่จะเปลี่ยนมาเป็นแบงก์แล้วมีสาขาแค่ 2 สาขา เขาต้องต่อสู้ด้วยวิธีใหม่ แต่ถ้าต่อสู้ด้วยวิธีเดิม มันสู้ไม่ได้ เพราะว่าคนอื่นมีตั้ง 300-400 สาขา"

ในเรื่องของการที่แบงก์ต่างชาติจะเข้ามามีสาขาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแสดงว่าจะมีการแข่งขันกันมากขึ้น และแบงก์ต่างชาติจะเสนอการบริการในมาตรฐานสากลที่จะต้องก่อให้เกิดการเปรียบเทียบในกลุ่มลูกค้านั้น บัณฑูรมองว่า

"ผมก็ไม่อยากจะให้ถึงวันนั้น นั่นคือการอ่านล่วงหน้า ว่าสถานการณ์ต้องเป็นอย่างนี้ และเราในฐานะผู้บริหารต้องเตรียมองค์กรอย่างเนิ่น ๆ ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เมื่อวันนั้นมาถึงแล้วเราจะไม่ทัน เปรียบเสมือนการเลี้ยวเรือเดินสมุทร มันต้องเลี้ยวกันตั้งนานกว่าที่จะหลบภูเขานั้นได้ ไม่ใช่เจอจนอยู่ข้างหน้า แล้วบอกว่าเลี้ยวซ้ายสุดตัว มันคงไม่ทันแล้ว เพราะองค์กรมันเปลี่ยนอย่างนั้นไม่ได้"
ทำไมต้องเป็น REENGINEERING

วิธีการเปลี่ยนแปลงการบริหารองค์กรนั้นทำได้มากมายหลายวิธี ข้อสำคัญคือปรัชญาเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนั้นคืออะไร

วิธีการที่ออกมาจะสะท้อนปรัชญานั้น

ในธนาคารกสิกรไทยที่บัณฑูรเข้ามารับผิดชอบดูแลในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นเวลากว่า 2 ปีนั้นเขาได้เห็นการทำงานที่ไร้ความหมายเป็นอย่างยิ่ง

บัณฑูรพูดถึงตัวอย่างที่รุนแรงมากซึ่งสะท้อนการทำงานที่ไร้ความหมายในความเห็นของเขา คือ การทำงานหลอก ๆ คือการทำงานที่ไม่ได้ก่อให้เกิดผลผลิตที่แท้จริงต่อระบบเศรษฐกิจ "ระบบปัจจุบันเป็นการเอาคนไปทำงานในสิ่งที่ไร้ความหมาย ทำในขั้นตอนที่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่ได้ให้ผลผลิตที่แท้จริงต่อเศรษฐกิจ"

"ตัวอย่างที่รุนแรงของผมคือ มีการจ้างงานให้คนมาขุดดิน และให้อีกคนมากลบดินที่ขุดนั้นมันมีการจ้างงานเกิดขึ้นจริง แต่ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรแก่เศรษฐกิจ มันมีงานทำจริง แต่ไม่มีผลผลิตอะไรที่เป็นประโยชน์ มันเป็นงานหลอก ๆ เราต้องการทำงานจริง ๆ มีผลผลิตที่เป็นประโยชน์จริง ๆ ต่อระบบเศรษฐกิจ หากบอกว่าเราต้องใช้คนโยนกระดาษไปมาอย่างนี้ แสดงว่าเราไม่ได้สร้างอะไรต่อระบบเศรษฐกิจ"

ความหมายของบัณฑูรคือในระบบการทำงานของแบงก์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ มีความอุ้ยอ้ายและล่าช้าเป็นอย่างยิ่ง

"ความช้าอย่างยิ่งในระบบตอนนี้คือไม่สามารถตัดสินใจได้ เพราะว่าข้อมูลไม่มี ไม่มีความรู้ที่จะใช้ข้อมูลนั้นอย่างมีดุลพินิจ และไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ เพราะเขาไม่ได้ให้ตัดสินใจ เขาไม่ได้มอบอำนาจมาให้ตัดสินใจ คุณต้องส่งต่อ ซึ่งเมื่อเจอลักษณะการทำงานเช่นนี้ ก็เป็นอันไม่ต้องบริการกันแล้ว มันก็เป็นแบบราชการ ส่งผ่านอย่างเดียว ชีวิตการทำงานก็มีอยู่แค่นี้"

"ยิ่งงานต้องผ่านหลายฝ่ายหลายขั้นตอนมากเท่าไหร่ ยิ่งอุ้ยอ้ายและไม่มีใครรับผิดชอบผลลัพธ์รวมคือฉันก็ส่งผ่านโต๊ะฉัน ทำหน้าที่ของฉันตามคำอธิบายงานถูกต้อง สิ้นปีได้สองขั้นแน่ แต่ว่าลูกค้าพอใจหรือไม่นั้น ไม่มีใครรับผิดชอบ นี่คือปัญหาขององค์กรใหญ่ คือแบ่งจนไม่ต้องมีใครรับผิดชอบ"

การทำงานในลักษณะที่เป็นแค่การเตรียมเอกสารส่งไปให้นายตัดสินใจเท่านั้น และก็เป็นการส่งต่อกันตามลำดับขั้นขึ้นไป นี่เป็น "โลกใบเก่า" งานที่เกิดก็เป็นแค่ "เพียงเพื่อพิจารณา" ซึ่งบัณฑูรเห็นว่า "เป็นความเซ็งอย่างยิ่งของงาน"

คนที่ทำงานอยู่ในระบบนี้ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจใด ๆ สิ่งที่ทำในแต่ละวัน ๆ เป็นเรื่องของการเตรียมข้อมูลเอกสาร เพื่อที่จะส่งผ่านไปให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้น

ผู้ที่เตรียมข้อมูลเอกสารเหล่านี้เป็นเสมือน "กรรมกรปกขาว" ทั้ง ๆ ที่พนักงานแบงก์นั้นก็เป็นกรรมกรปกขาวอยู่แล้ว แต่กว่าครึ่งหนึ่งของพนักงานที่ไม่ได้พบปะหน้าค่าตาลูกค้า ไม่เคยมีการติดต่อกับลูกค้า วัน ๆ ใช้ชีวิตอยู่เบื้องหน้ากองข้อมูลเอกสาร ยิ่งเป็นกรรมกรปกขาวเสียยิ่งกว่า ระบบการทำงานของพนักงานเหล่านี้เป็นแบบราชการ กฎระเบียบต่าง ๆ มากมายนั้น ในที่สุดก็กลายเป็นพันธนาการผูกตัวพวกเขาเองไว้ให้วิ่งไปไหนไม่ได้

ครั้นจะแก้ระเบียบเหล่านี้ ก็ยุ่งยาก วุ่นวายมาก เพราะต้องไปเปลี่ยนโน่นนี่อีกมากมาย ก็เลยไม่มีการเปลี่ยน เพราะมันก็ยังอยู่ได้สบาย

บัณฑูรไม่ต้องการให้ธนาคารที่เขามีหน้าที่ดูแลบริหารอยู่เป็นแบบนี้ คนทำงานไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีอำนาจในการทำงาน ทุกอย่างทำไปตามขั้นตอน กลายเป็นว่าคนได้ทำงานที่ไม่ท้าทายศักยภาพที่แท้จริงส่วนตัวของเขาในการทำงาน

บัณฑูรกล่าวว่า "เมื่อโลกเปลี่ยนไป โลกานุวัตรแปลว่ามาตรฐานของการแข่งขันการบริการจะต้องใกล้เคียงมาตรฐานโลกมากขึ้น มันเริ่มจากสมมติฐานนี้ก่อน ถ้าอะไรก็ตามที่เราทำอยู่ยังไม่ใกล้เคียงมาตรฐานโลก เราอยู่ในฐานะที่ยังไม่มั่นคง ตลาดกำลังจะเปิด มาตรฐานของการแข่งขันการให้บริการที่สูงกว่านี้มีอยู่ในโลก มันกำลังจะมาถึงที่นี่ ถ้าเราไม่เตรียมตัวแต่วันนี้ และของเหล่านี้ไม่ได้ทำกันเพียงวันสองวัน ต้องเป็นปี เพราะว่ามันเปลี่ยนศักยภาพของคนทำงานเป็นหมื่นคน"

เนื้อหาสาระของการ REENGINEERING หรือศัพท์ไทยอาจใช้คำว่า "ยกเครื่อง" ได้นั้นมีสิ่งสำคัญอยู่ 2 อย่างคือการเปลี่ยนกระบวนการทำงานของคนและการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยให้คนใช้ศักยภาพในการทำงานได้อย่างเต็มที่

"เราจะใช้ศัพท์คำอื่นก็ได้ เผอิญศัพท์คำนี้มันตกมา จริง ๆ คือ การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานของคน โดยที่เปลี่ยนทั้งขั้นตอนการทำงานนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ และที่สำคัญคืออบรมคนและให้อำนาจในการทำงานมากขึ้น"

แนวคิดเรื่อง REENGINEERING เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในธุรกิจอเมริกัน ในรอบทศวรรษที่ผ่านมาธุรกิจอเมริกันมีการเปลี่ยนไปเยอะ เปลี่ยนวิธีการทำงาน เปลี่ยนปรัชญาการทำงาน ตอนนี้จึงสามารถสู้ประเทศอื่น ๆ ได้บ้างแล้ว แม้แต่ไอบีเอ็มซึ่งติดอยู่ในความสำเร็จเก่าและพังไป ตอนนี้เริ่มกลับมาสู้แล้ว

เจ้าของแนวคิดนี้คือ DR. MICHAEL HAMMER และ JAMES CHAMPY ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือขายดีที่สุดเล่มหนึ่งตามร้านหนังสือชั้นนำในเมืองไทยเวลานี้ "REENGINEERING THE CORPORATION : A MANIFESTO FOR BUSINESS REVOLUTION"

บัณฑูรเปิดเผยว่าได้ไปฟัง ดร. แฮมเมอร์พูดอยู่วันหนึ่ง ฟังจากปากของเขาเอง และในความหมายของบัณฑูรนั้น "การ REENGINEERING เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน มันเปลี่ยนไปถึงบุคคลที่ทำงานนั้นด้วย จริงแล้วคนต้องทำงานในขอบเขตที่มีความสามารถมากกว่าเดิม ผมไม่ได้หมายความว่าของเดิมไม่มีความสามารถ แต่ว่าระบบต่างหากที่ไม่เอื้ออำนวย ไม่มีอำนาจที่จะทำในขอบเขตที่กว้างกว่าเดิม เพราะว่าคำอธิบายงานเขียนไว้ให้ทำแค่นี้ ก็คุณตำแหน่งนี้คุณก็ทำได้แค่นี้ นี่เป็นปรัชญาเดิม แต่ปรัชญาใหม่ คุณเพิ่งเข้าแบงก์มา 2 ปี แต่ทำได้มาก นี่คือสิ่งใหม่ คนจะมีอำนาจมากขึ้น มีความสามารถในการทำงานมากขึ้น"

มันเป็นความฝันของบัณฑูรหรือไม่

แต่คนขายฝันอย่างเขาก็ได้พิสูจน์ให้พนักงานแบงก์ 16,000 คนได้เห็นตัวอย่างแล้ว แม้จะยังไม่ใช่ภาพทั้งหมดของความฝันของเขาก็ตาม

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ยังค้างคาอยู่ซึ่งอาจจะเป็นคำถามของพนักงานแบงก์จำนวนมากก็คือทำไมต้อง REENGINEERING จะใช้วิธีอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เสมือนหนึ่งการกลับหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ได้หรือไม่

บัณฑูรกล่าวกับ "ผู้จัดการรายเดือน" ว่า "ผมไม่ต้องการแก้ไขเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ต้องการรื้อ ผมขอย้ำว่ามาตรฐานที่เรามีขณะนี้เรายอมรับไม่ได้ เราไม่ได้วัดกันว่าในปีนี้แบงก์กำไรเท่าไหร่ เพราะปีนี้งวดนี้มีกำไร ถ้าวัดตรงนั้นเราก็ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร มาตรฐานเราดูไปจริง ๆ ไม่ดีพอ แต่อยู่ได ้เพราะทุกคนก็ดีไม่พอพอ ๆ กัน 15-16 คนแค่นี้ไม่พอ เพราะวันหนึ่งต้องมีมากกว่า 15 คน และคนที่เข้ามาใหม่มันมาด้วยมาตรฐานที่สูงกว่านี้ อันนี้เป็นโจทย์ที่ต้องแก้"

นอกจากไม่ต้องการแก้ไขเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว การที่จะแยกหน่วยงานออกไปเป็นองค์กรใหม่ ก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาที่บัณฑูรพบสักเท่าไหร่ แต่เขายอมรับว่าในบางกรณีเป็นเรื่องจำเป็น

"อาจจะมีการแยกหน่วยงานบ้างตามความจำเป็น หากหน่วยงานนั้นทำธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธนาคารพาณิชย์โดยตรง ผมจะกระจายงานออกไป อย่างเรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นต้น แต่อันนั้นไม่ใช่สาระของการเปลี่ยนแปลงที่เราทำ มันจะแยกหรือไม่แยก หากยังมีวิธีการทำงานเหมือนเดิม สาระยังเป็นเหมือนเดิม ดังนั้นจึงไม่ใช่การแก้ไขด้วยการแตกฝ่าย ยุบฝ่าย มันต้องแก้ด้วยการที่ว่าคนต้องทำงานในลักษณะที่ต่างออกไปจากเดิม"

บัณฑูรวิจารณ์ว่า "มีประโยชน์อะไรที่จะแตกฝ่ายยุบฝ่าย แล้วแต่ละคนเพียงแต่เปลี่ยนสังกัดเท่านั้น แต่ทำงานเหมือนเดิม ผลก็ยังเหมือนเดิม การปรับโครงสร้างองค์กร (RE-ORGANIZED) ไม่ใช่คำตอบตัวเดียว มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เรามีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของคน วิธีการทำงาน คำจำกัดความ งานปรับโครงสร้างองค์กรจะเป็นส่วนที่ตามมา ไม่ใช่ส่วนนำ"

TFB มีการแยกหน่วยงานออกมาตั้งเป็นบริษัท 2 แห่งแล้วคือ บริษัท PROGRESS SOFTWARE ซึ่งมีผลการดำเนินงานชัดเจนแล้ว บริษัทนี้จะรับผิดชอบเรื่องโปรแกรมซอฟท์แวร์ที่ใช้ในงานของแบงก์โดยตรง

บริษัทนี้มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท TFB ถือหุ้น 50% ที่เหลือเป็นบริษัทในเครือของธนาคารเป็นผู้ถือ

เจ้าหน้าที่อาวุโสของแบงก์ที่เข้าไปคือ ชาติชาย สุนทรเกียรติ (ออฟฟิศอยู่ที่ชั้น 7) ชาติชายเป็นนักเรียนทุนของแบงก์ การศึกษาปริญญาตรี แผนกคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำงานในฝ่ายคอมพิวเตอร์ของแบงก์มาก่อนที่จะไปอยู่ฝ่ายบัตรเครดิตและย้ายมาอยู่โปรเกส ซอฟท์แวร์ในที่สุด

อีกบริษัทหนึ่งคือบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยซึ่งคงจะมี พิศาล มโนลีหกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายวิชาการของธนาคารฯ เข้าไปดูแล บริษัทนี้เกิดมาจากการยุบฝ่ายวิชาการของธนาคาร แล้วมาตั้งเป็นบริษัทแทน TFB ถือหุ้น 100% ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท

บ. ศูนย์วิจัย ฯ จะทำงานรองรับการขยายธุรกิจของธนาคารและบริษัทในเครือเป็นอันดับแรก มีการทำวิจัยธุรกิจในภาคต่าง ๆ ต่อไปในอนาคตจะมีการรับทำวิจัยจากลูกค้าด้วย

พิศาลกล่าวว่า "การที่แบงก์มีนโยบายยุบฝ่ายวิชาการ ก็เพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นเพราะหากไม่ปรับปรุงก็จะเกิดความอุ้ยอ้ายได้ จึงควรจะแยกออกมาทำธุรกิจเป็นด้าน ๆ ออกไปโดยตรง"

งานวิจัยฝ่ายวิชาการทำอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเป็นงานวิจัยด้านธุรกิจการเงินและอุตสาหกรรมในประเทศทั่ว ๆ ไป แต่บริษัทที่ตั้งใหม่นี้จะเน้นการวิจัยปริมาณธุรกิจและวัฒนธรรมการลงทุนในระดับท้องถิ่นให้มากขึ้น โดยจะวิจัยเน้นหนักไปในประเทศแถบอินโดจีน เช่น ลาว เวียดนาม กัมพูชา และพม่า รวมทั้งจีน ที่กำลังมีแนวโน้มการขยายตัวสูง นอกจากนี้ก็จะวิจัยประเทศที่กำลังเริ่มเปิดประเทศ คือ อินเดีย

"บริษัทใหม่จะได้รับการโอนพนักงานจากฝ่ายวิชาการที่มีประมาณ 40-50 คนมาร่วมงาน จะมีการถามความสมัครใจ และจะมีการรับคนใหม่ด้วย คาดว่าเรื่องบุคลากรคงไม่มีปัญหามากนัก"

อย่างไรก็ดี แบงก์ได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรด้วย ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว และมีผลบังคับใช้เมื่อ 1 มกราคม 2537 จุดสำคัญคือในโครงสร้างองค์กรใหม่นั้นสายงานการบังคับบัญชาจะแคบลงเป็นแบบ FLAT ORGANISATION (ดูผังโครงสร้างการบริหาร TFB)

บัณฑูรมองว่า "ลักษณะองค์กรเช่นนี้ทำให้การตัดสินใจต่าง ๆ เร็วขึ้น ให้อำนาจผู้บริหารในแต่ละสายงานมากขึ้น ถ้าอะไรที่ผมต้องตัดสินใจก็ผ่านผมโดยตรง อะไรไม่ต้องผ่านผมก็ทำถึงคนที่ต้องตัดสินใจ และก็จบลงที่ตรงนั้น"

บัณฑูรจะทำงานคู่ไปกับเคารพ นุชนารถ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส โดยมีรองกรรมการผู้จัดการ 5 คนและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอีก 9 คน


ยกเครื่องกสิกรไทย : ภาพลักษณ์ในยุคกึ่งศตวรรษ

2538 จะเป็นปีที่ธนาคารกสิกรไทยครบรอบ 50 ปี แน่นอนว่าจะต้องมีงานฉลองใหญ่โต มีนิทรรศการการที่แสดงให้เห็นพัฒนาการของแบงก์พาณิชย์อันดับ 3 ของไทย

งานฉลองการทำธุรกิจมาครบ 50 ปีมักจะเป็นการฉลองความสำเร็จของกิจการที่ฝ่าฟันมรสุมธุรกิจมาเป็นเวลายาวนาน ความสำเร็จของการให้บริการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่ตัวเลข 50 ปีที่แบงก์กสิกรไทยตอนนี้กำลังเป็นความกดดันอย่างยิ่งสำหรับพนักงานแบงก์โดยส่วนมาก และโดยเฉพาะในภาวะที่เกิดการ REENGINEERING ก่อนหน้าที่จะครบรอบ 50

"มันเป็นความกดดัน เพราะทุกอย่างก็ตั้งเป้า 50 ปีทั้งนั้น เปลี่ยนมันให้ได้ แต่ผมดูตอนนี้ก็อยู่ในวิสัยที่มีความเป็นไปได้สูงมาก กระบวนการของเราพิสูจน์แล้วว่ามีความเป็นไปได้สูง แม้จะต้องมีการปรับคลื่นกันเล็กน้อย แต่ว่าก็เป็นการพิสูจน์ในพื้นฐานปรัชญาแล้วว่าทำได้ ผมสามารถทำได้ต่อไปทีละ 30 สาขา อย่างน้อยก็ 120 สาขาในสิ้นปีนี้ ซึ่งหมายถึงทั้งกรุงเทพฯ ไปแล้ว และก็อาจจะได้สาขาตามจังหวัดใหญ่ ๆ ด้วย"

หลังจากที่ทำการยกเครื่องมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว บัณฑูรมีความมั่นใจมากขึ้น เพราะหลังจากที่เผยแพร่แต่แนวคิดปรัชญาล้วน ๆ มาระยะหนึ่งแล้วนั้น ถึงตอนนี้เขามีตัวอย่างของจริงให้ได้พิสูจน์กันที่สาขาแบงก์ที่สนามเป้า

บัณฑูรเปิดเผยว่าเขามีแนวคิดเรื่องนี้อยู่เป็นปีและในที่สุดก็ได้ตั้งทีมขึ้นมาช่วยกันคิด ทีมงานนี้ใช้ชื่อว่า "ส่วนงานยุทธศาสตร์และนวัตกรรม" ในตอนนี้มีที่ทำงานประจำอยู่ที่ชั้น 19 สำนักงานใหญ่ ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ของส่วนงานหนี้สิน

เมื่อแรกตั้ง คนในส่วนงานนี้มีเพียง 30-40 คนเท่านั้น แต่ตอนนี้มีเป็นร้อย ๆ คน คนเหล่านี้ทำงานเต็มเวลา โดยกระโดดออกจากส่วนงานเดิมที่เขาทำหน้าที่อยู่ หน่วยงานนี้แขวนอยู่ลอย ๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครโดยตรง ขึ้นกับสำนักบริหารทำงานภายใต้แนวคิดไม่มีหัวหน้า ไม่มีลูกน้อง

มีการดึงคนมาจากทุกแผนก ทั้งในสำนักงานใหญ่และตามสาขา การ RECRUIT รอบสองนี้จะมีเป็น 100 คน โดยดึงเอาคนที่มีคุณภาพมากที่สุด (CREAM) ของแผนกนั้น ๆ เข้ามาไว้ที่ส่วนงานนี้

คนเหล่านี้เป็นผู้มีประสบการณ์ มีความกล้าคิดกล้าทำ และไม่ยึดติดอยู่ในกระบวนการเก่า

คนเหล่านี้จะทำหน้าที่ศึกษา ค้นหาปัญหาและเสนอวิธีการในการแก้ไขปรับปรุงภายใต้ปรัชญาใหม่ของบัณฑูร พวกเขาสามารถลงโฆษณาประกาศในสื่อสิ่งพิมพ์ของธนาคารเพื่อหาสมัครพรรคพวกมาร่วมงานได้

ยกตัวอย่างทีมที่ทำงาน BRANCH REENGINEERING นั้น เมื่อแรกมี 7-8 คน แต่ตอนนี้มีโครงการจะทำอีกครั้งละ 30 สาขา คนที่มีอยู่เท่านี้รับไม่ไหวแน่ ก็ต้องหาพวกมาจำนวนหนึ่ง รับการถ่ายทอดวิธีการ ปรัชญาที่ทีมเดิมทำอยู่โดยละเอียด แล้วก็เอาไปถ่ายทอดในสาขาต่าง ๆ สอนให้เป็นครู แล้วพวกเขาก็ไปเป็นครูอีกต่อหนึ่ง

ทีมเดิมสามารถลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ "กิจการสัมพันธ์" ของแบงก์ เป็นการดึงคนภายในว่ามีงานอย่างนี้ น่าสนใจอย่างนี้ หากคุณต้องการทดสอบในวิธีคิดแบบใหม่ หรือทำงานที่ท้าทาย ติดต่อได้ที่หมายเลขนี้ คนที่สนใจมาทำนั้น ต้องทำงานเต็มเวลา ในส่วนงานเดิมของเขาก็ต้องมีคนไปแทน คนที่เข้ามาทำงานในส่วนงานนี้ต้องเปลี่ยนวิถีการทำงานอย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง เพราะมาอยู่ที่นี่

บัณฑูรเปิดเผยว่า "มันเป็นการเริ่มต้นตั้งแต่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีสักคนเดียว แล้วเริ่มสร้างทีมส้องสุมผู้คน ระดมคนมาตั้งทีมงานต่าง ๆ เราไม่ได้เกณฑ์ใคร เพราะของพวกนี้ต้องใช้ใจ จะทำงานตามคำสั่งไม่ได้ ของพวกนี้ต้องการคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ทำตามสั่งไม่ได้เพราะไม่มีใครสั่งและไม่มีใครรู้คำตอบ ทุกคนมารวมกันเพื่อแสวงหาคำตอบ"

ในส่วนตัวของบัณฑูรเองนั้น เขามีหน้าที่สำคัญที่สุดคือการพูด เพราะการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญต่อชีวิตการทำงานของคนเรือนหมื่นเช่นนี้ไม่ใช่ทำได้ด้วยคำสั่งหรือการบังคับ แต่ต้องอาศัย "ใจ" คือความเข้าใจและการสนับสนุนร่วมมือของคนเรือนหมื่น ความเชื่อมั่นของพวกเขาต่อผู้นำ ต่อแนวคิดนี้ว่าเป็นสิ่งถูกต้องเหมาะสม และในส่วนของผู้นำหรือผู้พูดเองนั้น ก็ต้องอาศัยพลังใจอย่างแรงกล้าด้วยเช่นกัน

บัณฑูรกล่าวว่า "คนที่ฟังผมพูดคงจะมีใจให้ผมมากกว่า หากองค์กรมีคนแค่ 300-400 คนป่านนี้ผมเข้าถึงตัวพนักงานหมดทุกคนแล้ว แต่องค์กรของผมมีคนเรือนหมื่น ทำอย่างไรผมจะ COPY ตัวเองได้เป็นร้อยเท่าในเวลาอันสั้นและยังได้ผลดีเช่นเดิม ผมยังหาวิธีอยู่"

นอกเหนือจากการฟังคำอธิบายถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานแล้วพนักงานในแต่ละระดับยังจะต้องผ่านการอบรมอีกมาก

บัณฑูรอธิบายว่า "การอบรมนี้เป็นการอบรมกระบวนการทำงานซึ่งมีคอมพิวเตอร์วางอยู่ข้างหน้าด้วย มันไม่ใช่แค่การอบรมคอมพิวเตอร์ แต่อบรมว่าเราจะทำงานอย่างไร ลูกค้าเข้ามาเราจะติดต่อกับเขาอย่างไร"

พนักงานคนหนึ่ง ๆ จะผ่านการอบรมสักกี่ครั้งนั้น ไม่สามารถบอกจำนวนที่แน่นอนได้ "มันเป็นไปตามความเจริญเติบโตของเขา คนที่เป็น TELLER ก็ต้องมีความรู้พอที่จะนั่งตรงนั้น เมื่อวันหนึ่งเขาก้าวหน้าขึ้นไปเป็นเจ้าหน้าที่การตลาด หรืออย่างอื่นที่เราจะเรียกชื่อ เช่น BUSINESS OFFICER เขาก็ต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติมในการที่จะทำธุรกิจตรงนั้นได้ การอบรมนี่มันต้องมีไปเรื่อย ๆ ตามลำดับชั้น"

ทั้งนี้แบงก์มี "ศูนย์ฝึกอบรมพนักงานธนาคารกสิกรไทย" มูลค่าการลงทุน 300 ล้านบาท พื้นที่ 26 ไร่ที่บางปะกง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะรองรับแผนการฝึกอบรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นมากมาย

ในการยกเครื่องรอบแรกนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานใน 5 กระบวนการ คือ กระบวนการสาขาซึ่งได้เริ่มเป็นกระบวนการแรก และโชคดีอย่างมากที่ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง

บัณฑูรถึงกับกล่าวว่า "โชคดีที่เราเริ่มทำกระบวนการแรกที่สาขา แล้วผลมันออกมาดี ทำให้ทุกคนเห็นว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั้น มันทำได้ ที่บอกว่าเร็วขึ้นสามสี่เท่าตัวนั้นมันทำได้อยู่แล้ว และชีวิตคนทำงานไม่ได้เปลี่ยนไปในทางลบ มันเปลี่ยนไปในทางบวกต่างหาก"

นี่เป็นข้อได้เปรียบที่ช่วยบัณฑูรได้อย่างมาก เพราะเขามีของที่จะแสดง ไม่ได้มีแต่ทฤษฎีเท่านั้น "ทุกอย่างเป็นไปตามสภาวะความเป็นจริง มันไม่ใช่การทำรายการ เอาลูกค้ามาหลอก"

กระบวนการอื่น ๆ ที่กำลังดำเนินการได้แก่ ศูนย์ต่างประเทศ การแก้ไขหนี้ การขอเครดิตและการโอนเงิน/การชำระเงินต่าง ๆ ซึ่งใน 4 กระบวนการนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาและออกแบบ

แต่นอกเหนือจากกระบวนการทั้ง 5 นี้แล้ว ส่วนงานต่าง ๆ ก็ต้องตื่นตัวและดูว่าตัวเองจะปรับอะไรได้บ้าง "แต่ 5 กระบวนการนี้ คือสิ่งที่ผมยกมาทำเป็นทีมต่างหาก เราจะหาวิธีใหม่ให้ได้ เพราะกระบวนการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมันผ่านหลายฝ่าย"

นอกเหนือจากการทำงานกับคนแล้ว จุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ ซึ่งในการนี้ แบงก์ได้เปลี่ยนระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ เอาซอฟท์แวร์ RELIANCE-2000 เข้ามาใช้แทนที่ SAFE ซึ่งมีอายุมานาน 8-9 ปีแล้ว และล้าสมัยเกินไปในเวลานี้

SAFE นั้นทำได้แค่ส่วนเดียวคือเงินฝากเงินกู้ที่สาขาเท่านั้น ยังไม่ครบทุกรายการ บางอย่างยังทำอยู่ในระบบ MANUAL

RELIANCE-2000 เป็นซอฟท์แวร์ตัวที่วิ่งอยู่ข้างหลังเครื่องเมนเฟรม และมีตัวที่เรียกว่า BRANCH PLATFORM, BRANCH AOTOMATION ซึ่งจะเป็นตัวที่วิ่งอยู่ที่สาขา เป็นตัวที่จะออกมาตามหน้าจอต่าง ๆ ในสาขา

นอกจากนี้ก็มีซอฟท์แวร์ที่จะทำศูนย์ธุรกิจต่างประเทศ ทำห้องค้าเงินต่างประเทศ ทำบัตรเครดิต ซึ่งในที่สุดแล้วทุกอย่างต้องมารวมกันเป็นฐานข้อมูลทุก APPLICATION เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการตลาดจะไม่เกิด

การนำซอฟท์แวร์ต่าง ๆ เข้ามาใช้นั้น ก็เพื่อที่จะให้พนักงานมีความพร้อมในเรื่องของข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ การสร้างระบบงานต่าง ๆ ที่เป็นคอมพิวเตอร์ และ APPLICATION ต่าง ๆ นั้นตั้งอยู่บนรากฐานที่ในที่สุดแล้วต้องเชื่อมกันได้ เป็นฐานเดียวกันและสามารถดึงมาใช้ได้ในเชิงการตลาด

ซอฟท์แวร์ RELIANCE-2000 ตัวนี้มีมูลค่าเป็นร้อยล้านบาท ซึ่งจะใช้ได้นานเท่าไหร่นั้น บัณฑูรยังบอกไม่ได้ และ "การลงทุนตัวนี้ก็หยุดไม่ได้ เราต้องเริ่มไปหาอีก GENERATION หนึ่งของคอมพิวเตอร์ หาซอฟท์แวร์ที่ยิ่งมีพลังมากขึ้น พลังในที่นี้คือพลังที่สามารถเอื้ออำนวยให้เราสามารถให้บริการที่ดี"

RELIANCE-2000 เป็น GENERATION ที่ดี แบงก์จะติดตั้งระบบนี้สำเร็จในต้นปีหน้า "มันจะทำให้ความสามารถในการให้บริการของเราดีขึ้นอย่างมาก "บัณฑูรกล่าวอย่างมั่นใจ

โฉมหน้าใหม่ของแบงก์กสิกรไทย

หน้าตารูปลักษณ์ใหม่ของธนาคารที่สาขาสนามเป้าในตอนนี้ยังไม่ใช่หน้าตาของแบงก์หลังจากยกเครื่องอย่างแท้จริง 100% เพราะแบงก์กำลังอยู่ระหว่างการว่าจ้างบริษัท LANDOR ASSICIATES- ดีไซเนอร์ระดับสากลให้มาออกแบบใหม่

ดีไซเนอร์ใหม่จะทำให้สถานที่นั้นดูน่าใช้มากยิ่งขึ้น เฟอร์นิเจอร์อาจจะมีดีไซน์ใหม่ที่แตกต่างออกไปจากสาขาที่สนามเป้า แต่ตำแหน่งการจัดวางจะยังเป็นในลักษณะเดิมที่มีการปรับเปลี่ยนแล้ว

นอกจากนี้ หน้าร้านก็เปลี่ยน ชื่อก็จะเขียนแบบใหม่ เครื่องแบบของพนักงานก็เปลี่ยน มีอยู่อย่างเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือตราครุฑ

ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานนั้น ในที่สุดแล้ว พนักงานแบงก์ หลังจากผ่านการอบรมต่าง ๆ แล้ว เขาจะเป็นเสมือน "ผู้ให้บริการด้านการเงิน" ซึ่งในความหมายของบัณฑูรคือเป็นผู้ที่มีความเข้าใจในธุรกิจของแบงก์ เข้าใจว่าสินค้าบริการของแบงก์มีอะไร สามารถคุยกับลูกค้ารู้เรื่อง มีอำนาจในการตัดสินใจ จิ้มไปบนคีย์บอร์ดหน้าจอคอมพิวเตอร์จะปรากฏข้อมูลครบประกอบการพิจารณา

นี่คือภาพของพนักงานแบงก์กสิกรไทยในทัศนะของบัณฑูร

ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่จะสะท้อนให้เห็นยุทธศาสตร์ของแบงก์ด้วยคือการเปลี่ยนนิยามลักษณะงานใหม่ หรือมีการอธิบายตำแหน่งงานใหม่

บัณฑูรกล่าวว่า "มันต้องเปลี่ยนวิธีการที่จะนิยามลักษณะงานกันใหม่ ชื่อในการเรียกตำแหน่งงานต้องเปลี่ยนใหม่ แต่อันนี้ยังไม่สำคัญเท่ากับว่าจริง ๆ แล้วคนนั้นทำงานอะไร หากทำแบบเดิมก็แสดงว่ายังไม่ได้เปลี่ยนอะไร เรายังไม่ได้ใช้คนในลักษณะที่ฉลาดไปกว่าเดิม"

การนิยามลักษณะงานและการเรียกตำแหน่งงานใหม่จะทำให้ภาพลักษณ์ของธนาคารเปลี่ยนไปอย่างมาก

ขอให้นึกถึงตัวอย่างของซิตี้แบงก์ ซึ่งมีตำแหน่งงานแปลก ๆ มีหน่วยงานหลายหน่วย แต่ละหน่วยมีคนเพียง 3-4 คนเท่านั้น

บัณฑูรมองว่าอาจจะเป็นเช่นนั้น "เพราะความสามารถของคน 3-4 คนนั้นมีสูงมาก ระบบที่สนับสนุนเขาเต็มที่ เขาใช้อย่างเดียวคือดุลพินิจ ข้อมูลครบหมด เขาไม่ต้องมานั่งเตรียมข้อมูล กดเครื่องคิดเลข แต่กดเข้าไปในระบบแล้วจะพบข้อมูลที่จำเป็นเพื่อใช้ในการตัดสินใจได้"

"นี่คือ-ภาพที่ผมวาดไว้ในการให้บริการ และมันได้เกิดขึ้นแล้วที่สาขาสนามเป้า ลูกค้าใช้เวลาในการติดต่อน้อยลง คิวไม่เคยเกิน 3 คน และมีคิวเดียวเท่านั้น"

มันเป็นภาพที่ต่างไปจากการให้บริการในสาขาอื่น ๆ และของธนาคารอื่น ๆ ซึ่งลูกค้าต้องมารอ มีเก้าอี้นั่ง มีน้ำให้ดื่ม มีหนังสือพิมพ์ให้อ่าน เพราะโดยระบบงานมันบีบบังคับให้ต้องรอ เพราะว่าพนักงานยังทำรายการไม่เสร็จ

เทียบกับ LOCAL BANK ในฮ่องกง สิงคโปร์นั้น ต่างมีมาตรฐานหมดแล้ว บัณฑูรเล่าว่า "สาขาที่ฮ่องกงนั้นมีขนาดเท่าห้องน้ำผม แต่มีบริการทุกอย่างเพราะหากต้องใช้ที่กว้างอย่างสาขาแบงก์ไทยมันต้องเจ๊งไปแล้ว เพราะฮ่องกงที่แพง เราต้องเอาระบบกับความสามารถของคนเข้ามาช่วยกันให้บริการ

ยุทธศาสตร์สำคัญ : รีเทลแบงก์

การปรับเปลี่ยนองค์กรขนาดใหญ่ของบัณฑูรครั้งนี้เกี่ยวเนื่องกับการกำหนดยุทธศาสตร์ของแบงก์ด้วย

บัณฑูรไม่ยอมรับว่าแบงก์กำลังมุ่งไปในตลาดรีเทล เพราะ "เราอยู่ในตลาดรีเทลอยู่แล้ว แต่ว่าจะทำให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเราไม่ต้องการให้ใครมาแย่งตลาดนี้ไป คนส่วนใหญ่มองตลาดรีเทลว่าไม่น่าสนใจ ไม่น่าตื่นเต้น ไม่มีการเซ็นสัญญาอะไรต่าง ๆ ที่มีมูลค่าเป็นพันเป็นหมื่นล้านบาท ซึ่งมันดูโก้แต่หากถามว่าสาระจริง ๆ ของแบงก์อยู่ที่ไหน มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ รายการที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ต่างหาก"

การที่จะคงความเป็นผู้นำในตลาดรีเทลแบงก์นั้น แน่นอนว่าจุดสำคัญมีความเกี่ยวเนื่อง
กับการเปลี่ยนกระบวนการทำงานครั้งนี้อย่างชัดเจน

การทำรายการนับหมื่นแสนรายการเหล่านี้ให้เสร็จได้รวดเร็วเท่าใด ก็ยิ่งรองรับปริมาณได้มากขึ้นเท่านั้น

สุดยอดของอุปสรรคในการทำตลาดรีเทลคือความอุ้ยอ้ายเชื่องช้าในการทำงาน

เมื่อใช้คนน้อยลงในการทำรายการ ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย พนักงานแบงก์ส่วนมากที่ไม่เคยพบปะเจรจาลูกค้าเลยก็จะได้มีโอกาสในตอนนี้ พวกเขาจะถูกย้ายจากการอยู่ข้างหลัง ทำงานกับกระดาษหรือทำงาน BACK OFFICE มาอยู่ข้างหน้า ประสานกับลูกค้า ได้เจอได้ทำธุรกิจ มีอำนาจในการตัดสินใจจัดหาธุรกิจเพิ่มเติม

บัณฑูรย้ำว่า "ผมต้องการให้องค์กรเป็นอย่างนั้นเพราะนั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราอยู่รอด"

กล่าวได้ว่าการเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดรีเทล ด้วยการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานของพนักงานแบงก์เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของกสิกรไทยในตอนนี้

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนแบงก์กำลังศึกษาเรื่องการแยกส่วนงานบัตรเครดิตออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ซึ่งทิศทางนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ดำเนินการล่วงหน้าไปแล้ว

นอกจากนี้ แบงก์ได้มอบหมายให้บริษัท โอกิลวี่แอนด์เมเธอร์ (ประเทศไทย) จัดทำภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ชื่อชุด "เพื่อบริการที่เป็นเลิศ" ใช้งบประมาณ 20 ล้านบาท

แนวคิดภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้สะท้อนปรัชญา REENGINEERING ของบัณฑูร ชี้ชัดถึงตำแหน่งแห่งที่ของแบงก์ในอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ไทย

กล่าวคือหัวใจสำคัญที่สุดของธุรกิจบริการคือการให้บริการที่เป็นเลิศ พนักงานผู้ให้บริการจะต้องผ่านการฝึกอบรม ไม่ว่าจะเป็นพนักงานใหม่หรือผู้บริหารระดับสูง ต้องมีการหมุนเวียนเข้ารับการอบรม เพื่อรับทราบถึงยุทธศาสตร์การแข่งขันและบริการใหม่ ๆ ที่มีการพัฒนาและคิดค้นออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะสามารถให้บริการแก่ลูกค้าในมาตรฐานสากลได้

ภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ชี้ชัดเจนว่าแบงกได้พัฒนารูปแบบการดำเนินธุรกิจไปสู่การเป็นรีเทลแบงก์หรือธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อย และพนักงานเป็นหัวใจสำคัญในการให้บริการในยุทธศาสตร์นี้

บทหนักอยู่ที่บัณฑูร

แน่นอนว่ากรรมการผู้จัดการใหญ่จะเป็นผู้รับบทหนักอีกนัยหนึ่งคือเป็น LEADER ในงาน REENGINEERING องค์กรตามแนวคิดของ ดร. แฮมเมอร์

บัณฑูรเตรียมใจรับไว้แล้ว

"ผมไม่ได้มีพลังอะไรเป็นส่วนตัว มันเป็นหน้าที่ของผม หน้าที่ตรงนี้คือการพาองค์กรให้รอด หากเรามองเห็นว่าเรือจะวิ่งไปชนภูเขาน้ำแข็ง แล้วเราไม่บอกว่าต้องเลี้ยวสุดตัว เราก็ละทิ้งหน้าที่"

"มันเป็นเรื่องที่ต้องทำ ไม่อย่างนั้นก็ไปไม่รอด มันต้องออกแรงมาก เพราะว่าเราเปลี่ยนใหญ่ และที่เราต้องเปลี่ยนใหญ่ก็เพราะว่าโลกมันเปลี่ยนใหญ่ โลกของธุรกิจธนาคารในประเทศมันเปลี่ยนใหญ่ หากเราไม่เปลี่ยนอย่างใหญ่ด้วย เราก็ไปไม่รอด"

คำอธิบายของบัณฑูรสะท้อนภาระที่หนักอึ้ง แต่เขาคิดว่า "ไม่ใช่ผมเท่านั้นที่เหนื่อย คนอื่นเขาก็มาด้วยกับเรา เขาก็มีเวลาน้อยเหมือนกับเรา ไม่ใช่เราคนเดียว คนอื่นก็ร่วมจิตร่วมใจกับเรา เป็นพลังในการสู้รบต่อไป พาไปสู่ความสำเร็จ"

อย่างไรก็ดี บัณฑูรยอมเปิดเผย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่มุนษย์เหล็ก มีจิตใจ อารมณ์ และละเอียดอ่อนทีเดียว

"ผมก็มีท้อบ้างเมื่อร่างกายจิตใจอ่อนแอเป็นพัก ๆ บางทีก็โมโห บางครั้งหงุดหงิดที่ไม่ได้ดังใจ มันก็ต้องทำต่อไป"

ทั้งนี้บัณฑูรอธิบายว่า "เพราะเราไปเปลี่ยนในสิ่งที่เขาทำสบาย ๆ อยู่แล้ว เราไปเปลี่ยนเขา เราไปทำให้ชีวิตเขาไม่มีความสบาย แม้เรารู้อยู่ว่าเราทำอย่างนี้เพื่อในที่สุดแล้วทุกคนอยู่รอดและเจริญก้าวหน้า"

เป็นคำอธิบายหนึ่งบอกแก่ตัวเองด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เขาโชคดีที่เป็นคนมองโลกในแง่ดี มองอุปสรรคเป็นเรื่องท้าทาย

บัณฑูรกล่าวว่า "ผมโชคดีที่แบงก์อยู่ในสถานะทางการเงินที่ดี สามารถที่จะลงทุนอะไรต่าง ๆ ได้ ผมถึงบอกว่าทำในตอนที่ยังเข้มแข็งอยู่ เราจะได้มีแรง"

สถานะทางการเงินที่ดีของแบงก์ในตอนนี้ หมายถึงอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าปีละ 20% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2536 ที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานที่ดีมาก (ดูตารางตัวเลขสำคัญทางการเงินของ TFB)

อย่างไรก็ดี STANDARD CHARTERED SECURITIES ASIA คาดหมายอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) ในปีนี้ของแบงก์จะลดลงเหลือแค่ 5.34% มี EPS 10.46 บาท เทียบกับปี 2536 ที่ผ่านมา 9.93 บาท (ดูตารางอัตราส่วนที่สำคัญของ TFB)

แต่นักวิเคราะห์ธนาคารพาณิชย์ของ SC SEC ASIA ก็มองว่าการ REENGINEERING ของแบงก์เป็นสัญญาณ (SIGN) ที่ดีอย่างมาก ๆ ผลที่จะเกิดตามมาของกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลในระยะยาว อย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป แบงก์จำเป็นที่จะต้องทำการลงทุนเรื่องนี้ และแบงก์ใหญ่ต้องลงทุนมากกว่าแบงก์เล็ก เป็นการทำเพื่อความอยู่รอด

การลงทุนสำหรับโครงการ REENGINEERING ครั้งนี้คงตัดเป็นค่าใช้จ่ายตามปกติในบัญชีได้ แม้จะมีการลงทุนในซอฟท์แวร์ใหม่ที่เข้ามาก็คงจะไม่มากไปกว่าค่าใช้จ่ายธรรมดา

ความโชคดีอีกข้อหนึ่งของบัณฑูรคือ แบงก์ไม่มีปัญหา หมายถึงการเมืองในองค์กรค่อนข้างจะไม่มี นั่นคือโชคดีสำหรับผม หากมีตรงนี้ ต้องต่อสู้เรื่องนี้กันในแต่ละวัน ก็พอดีหมดแรงไม่ต้องทำอะไรนอกจากนี้ผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ก็อยู่กันครบได้ให้แนวทางที่เป็นประโยชน์ให้โอกาสและช่วยเหลือผม"

ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน เมื่อได้พูดถึงเรื่อง REENGINEERING มากขึ้น บัณฑูรพบความเฉื่อยและแรงต่อต้านในองค์กร เขามองว่า "เป็นสิ่งที่ดีมากเพราะแสดงว่าองค์กรนั้นเริ่มจะตื่นตัว เริ่มจะคิดอะไรต่าง ๆ มันก็เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องทำความเข้าใจ ผมก็ต้องพูดต่อไป สัปดาห์หน้าเดือนหน้าผมก็พูด พูดซ้ำซากก็ต้องพูด"

แม้ว่าวิธีการหลายแบบที่จะช่วยผ่อนแรงเขาได้ แต่บัณฑูรเลือกที่จะพูดก่อนในเบื้องแรก เพราะพูดกันต่อหน้านี้ได้อรรถรสมากที่สุด

เขาเลือกวิธีการอื่น ๆ ด้วย เช่น การอัดเทป การเขียนในคอลัมน์ "จดหมายจากคนขายฝัน" ของเขาซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ "กิจการสัมพันธ์" ของแบงก์ แล้วก็พูดกับสื่อมวลชน ออกโทรทัศน์

บัณฑูรนำอุปสรรคแรงต้านกระแสโต้ต่าง ๆ มาปรุงรสชาดการพูดในครั้งต่อ ๆ ไป จนตอนนี้เขาพูดได้คล่องขึ้นมาก

"พูดครั้งแรกกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน เพราะความเข้มเพิ่มมากขึ้นเยอะ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาก ข้อคิดต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นมาก"

บัณฑูรอาจต้องใช้เวลาปีนี้ทั้งปีเพื่อที่จะพูดเรื่อง REENGINEERING ให้กับผู้บริหารของแบงก์ "นี่ผมลงเฉพาะผู้บริหารระดับกลางเท่านั้น ผมยังกวาดไม่ครบ ผมมีผู้อำนวยการกับผู้จัดการสาขารวมกันทั้งหมด 1,000 กว่าคน แล้วยังมีผู้ช่วยบริหารฝ่าย ผู้จัดการเขต ผู้บริหารฝ่าย ผมเริ่มเก็บพวกนี้ก่อน"

อย่างไรก็ดี เขาเต็มใจที่จะใช้วิธีสื่อสารโดยตรงซึ่งได้ผลดีที่สุด

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับบัณฑูรในเวลานี้คือการเตรียมพร้อมทางร่างกาย การออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเขาในยามนี้ ซึ่งข้าง ๆ ห้องทำงานของเขา เป็นห้องออกกำลังกายเล็ก ๆ ที่มีอุปกรณ์น้อยชิ้น แต่เขาได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าในการฟิตร่างกายรับมือกับการ REENGINEERING องค์กรใหญ่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ธนาคารไทย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us