Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน30 สิงหาคม 2549
กสิกรฯ หั่นเป้าดัชนีหลังตลาดหุ้นซึม             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย

   
search resources

Investment
กสิกรไทย, บล.




บล.กสิกรไทย เชื่อตลาดหุ้นซึมถึงกลางเดือนก.ย.นักลงทุนต่างประเทศรอประเมินสถานการณ์ใน-นอกประเทศ เชื่อหากจัดตั้งรัฐบาลต้นปีหน้า การลงทุนเมกะโปรเจ็กเดินหน้า ขณะที่สัญญาณดอกเบี้ยสหรัฐลดลงดึงเงินต่างประเทศไหลเข้าตลาดทุน “รพี” เล็งปี 50 เพิ่มลูกค้าสถาบันเป็น 30% จากปีนี้ที่ 10% ขณะที่เป้าดัชนีปรับลดจาก 790 จุดเหลือ 750 จุด

วานนี้ (29ส.ค.) บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดสัมมนาในหัวข้อ “โครงการจัดสรรเงินทองอุ่นใจ หลักทรัพย์กสิกรไทยใส่ใจดูแลคุณ” ณ โรงแรมแกรนด์ไชน่า

นายเชาวน์ เก่งชน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตประมาณ 3-3.5% จากปัจจัยลบต่างๆ ยังคงส่งผลกระทบเช่น ราคาน้ำมันยังคงทรงตัวในระดับสูง ปัจจัยทางการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน อาจจะมีการเลื่อนวันเลือกตั้ง 1 เดือนเป็น 15 พฤศจิกายน

ทั้งนี้ เชื่อว่าเฉลี่ยทั้งปีการเติบโตเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 4-4.5% ขณะที่หากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าก็จะทำให้มีการเดินหน้าการลงทุนของภาครัฐบาลได้เต็มที่ แต่ยังคงมีความกังวลในเรื่องการปฏิรูปทางการเมืองในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในไตรมาส 3/2551 ดังนั้นคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 50 จะเติบโตที่ 3.5-4.5%

สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐที่น่าจะเริ่มปรับตัวลดลงในไตรมาส 1/50 คาดว่าจะปรับตัวลดลงต่ำสุดในช่วงไตรมาส 3/50 ซึ่งหากสหรัฐปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และค่าเงินสกุลในเอเชียแข็งค่าขึ้น ซึ่งคาดว่าเงินเยนมีการแข็งค่าขึ้น 5-6% และคาดว่าค่าเงินหยวนจะมีการปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-5% ส่วนค่าเงินบาทก็จะแข็งค่าตามทำให้เม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นในช่วงปีหน้า

นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า หากรัฐบาลมีการจัดตั้งขึ้นได้ในช่วงต้นปีหน้าจะทำให้เม็ดเงินการลงทุนของภาครัฐจะทยอยลงทุนได้ประมาณกลางปี 50 ดังนั้นเชื่อหากมีสัญญาที่ภาครัฐจะมีการลงทุนก็จะส่งผลดีกับการลงทุนตลาดหุ้นไทยทำให้สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทยังคงเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยในอีก 12 เดือนที่ 800 จุด

ทั้งนี้จากในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 750 จุด ซึ่งลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 790 จุด จากปัจจัยทางการเมืองยังไม่ชัดเจน โดยช่วงสั้นหากนักลงทุนต้องการที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นควรที่จะทยอยซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่หากนักลงทุนที่ยังไม่มีความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนจากขณะนี้ที่ภาวะตลาดค่อนข้างผันผวนแนะนำให้นักลงทุนไปลงทุนกองทุน พันธบัตรฯลฯ

นายอมฤต ศุขะวณิช รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ถึงกลางเดือนกันยายนจะมีลักษณะการเคลื่อนไหวซึมๆ เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศหยุดพักร้อนและคาดว่าจะกลับมาลงทุนในช่วงเดือนกันยายนนี้ แต่มีนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าปีนี้ครบรอบ 5 ปี เหตุการณ์ 911 ซึ่งอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นมาดังนั้นนักลงทุนจึงยังไม่กล้าเข้ามาลงทุน แต่หากผ่านไปได้ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวดีขึ้น เพราะปกติช่วงก่อนการเลือกตั้งดัชนีหุ้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้แม้ภาวะตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนดังนั้นนักลงทุนควรที่จะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทนเงินปันผลที่สูง ซึ่งจะเป็นหุ้นที่อยู่ในSET 50 และหุ้นดังกล่าวก็จะมีสภาพคล่องที่ดี โดยหุ้นกลุ่มที่มีการปันผลสูง เช่น กลุ่มอิเล็กโทรนิกส์ และเดินเรือ เพราะที่ผ่านมาราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงมาก

HANA ปันผลสูงสุด

สำหรับหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงสุด 5 อันดับปีนี้ คือ บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส หรือ HANA ผลตอบแทน10.90%, บมจ.ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด หรือ TPC ผลตอบแทน 10.42%, บมจ.อาร์ ซี แอล หรือ RCL ผลตอบแทน 9.21%, บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ CCET ผลตอบแทน 8.38%, บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA ผลตอบแทน 7.81%

ส่วนหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลน้อยสุด 5 อันดับ คือ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE, บมจ.ทีพีไอ โพลีน หรือ TPIPL, ธนาคารทหารไทย หรือ TMB ไม่มีการจ่ายเงินปันผล, บมจ.ชินแซทเทลไลท์ หรือ SATTEL ผลตอบแทน 0.11%, บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ หรือ ITD ผลตอบแทน1.61%

เพิ่มลูกค้าสถาบันเป็น 30%

นายรพี กล่าวว่าในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนสัดส่วนลูกค้าสถาบันในประเทศเป็น 30% จากขณะนี้ที่มี 10% โดยการไปนำเสนอข้อมูลของบริษัทแนะนำในเรื่องบทวิจัยของบริษัท โดยจะแสดงให้เห็นจุดแข็งของบริษัทซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นธนาคารและมีการใช้ข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยมาเป็นข้อมูลในการจัดทำบทวิเคราะห์ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทเริ่มมีการไปนำเสนอข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันแล้ว

ในส่วนของลูกค้ารายย่อยบริษัทจะมีการจัดสัมมนาเพิ่มสร้างฐานลูกค้า โดยคาดว่าในปี 50 จะมีลูกค้าเปิดบัญชีกับบริษัทเพิ่มเป็น 5,000 บัญชี จากขณะนี้ที่มีอยู่ 2,000 บัญชี และคาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ที่ 1-1.5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะไม่ถึง 1%

สำหรับการที่มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงนั้นเกิดจากปัจจัยลบต่างๆที่เข้ามา แต่บริษัทยังคงเดินหน้าในการรับเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) เพิ่มขึ้น โดยขณะนี้มีจำนวน 65 ราย ซึ่งตามแผนของบริษัทจะรับจำนวน 110 คน เพื่อดำเนินการเป็นไปตามแผนงานที่บริษัทตั้งไว้ 3 ปี ที่จะจะมีส่วนแบ่งการการตลาดสูงสุดติด 1 ใน 5

นายรพี กล่าวว่า บริษัทไม่มีแผนที่จะมีการหาพันธมิตรเข้ามาควบรวม เนื่องจากตราบใดที่ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น) ยังคงอยู่ที่ 0.25% นั้น การควบรวมของบริษัทหลักทรัพย์จะเกิดได้ยาก เพราะ บล.ต่างๆ ยังคงสามารถประกอบธุรกิจได้และมีผลกำไรจากการดำเนินงานอยู่ รวมถึงไม่มีปัจจัยที่จะเร่งให้เกิดการควบรวม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us